Advertisement

วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2556

รับลมหนาวด้วยผิวสวยสุขภาพดี

ดูแลผิวในหน้าหนาว



          หน้าหนาวแล้ววว   คุณๆๆโดยเฉพาะคุณผู้หญิง ต้องไม่อยากให้ผิวแห้งใช่ไหมค่ะ แบบว่าผิวตกสะเก็ดคล้ายเกล็ดงู เชื่อว่าหลายๆคนคงจะปะโคมทา โบก หรือแทบจะอาบกันโลชั่นหรือพวกครีมกันเลยทีเดียว วันนี้เรามีเคล็ดลับดีๆมาฝากค่ะปกป้องผิวรับลมหนาว ไม่ให้แห้งกร้านกันคะ ให้แลดูผิวสุขภาพดีกันอีกด้วย

ริมฝีปากแห้งเป็นเกล็ดเพราะลมหนาว
          ควรหลีกเลี่ยงการเลียริมฝีปากบ่อยๆ เพราะจะยิ่งทำให้ปากแห้งมากขึ้น การทาลิปบาล์มก่อนทาลิปสติค หรือลูบริมฝีปากด้วยวาสลีน ทุกครั้งที่รู้สึกว่าปากแห้ง จะช่วยทำให้ปากชุ่มชื้น หมดปัญหาปากแห้งเป็นเกล็ดได้

ปกป้องผิวจากลมหนาว
           ปัญหาที่พบได้บ่อยในช่วงหน้าหนาว คือ อาการคันเนื้อคันตัว เนื่องจากผิวแห้ง จึงควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น และควรใช้เวลาในการอาบน้ำให้สั้นที่สุด สำหรับคนที่ผิวแห้งเป็นผุยผง ให้หยดเบบี้ออยล์สัก 10 หยด ผสมลงในน้ำที่ใช้อาบ สบู่ที่ใช้ควรเปลี่ยนมาเป็นครีมอาบน้ำ ชนิดที่มีมอยส์เจอร์ไรเซอร์ หลังจากอาบน้ำแล้ว อย่าลืมลูบไล้ออยล์ให้ทั่วตัว ในขณะที่ผิวยังเปียกอยู่ จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้



น้ำมันมะกอกกับปัญหาผิวแห้ง
          น้ำมันมะกอก นอกจากช่วยแก้ปัญหาผมแห้งแล้ว นำมาลูบแขนขา ในช่วงหน้าหนาว จะช่วยให้ผิวดูชุ่มชื้นได้อีกด้วย

เล็บและมือแห้งเปราะในช่วงหน้าหนาว
          ให้แช่มือในน้ำนม สัก 5 นาที จะทำให้มือและเล็บอ่อนนุ่มขึ้น เนื่องจากน้ำนมช่วยให้ผิวของคุณ เก็บความชุ่มชื้นได้นานขึ้น และแคลเซียมในน้ำนม ยังช่วยให้เล็บแข็งแรงขึ้นด้วย นอกจากนี้ ในน้ำนมยังมีกรดแล็คติค ซึ่งช่วยผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว ให้หลุดลอกอย่างนุ่มนวล

เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหน้าด้วย "กล้วย"
          นำกล้วยหอมสุกมาบด แล้วเติมน้ำผึ้งลงไป นำมาพอกให้ทั่วผิวหน้าเว้นช่วงรอบดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วจึงค่อยล้างออก กล้วยจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ดูสดใส เปล่งปลั่ง

วันพุธที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ดูแลหน้าสาววัย 20

ดูแลผิวหน้าสาววัย20ขึ้น

                                            

         สาววัยเลขสองอาจยังดูสวยสดใส ถึงจะไม่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์อะไรมาก ผิวก็ดูมีประกายเปล่งปลั่งตามธรรมชาติ แต่ก็อย่าคิดว่าสาววัยเลขสองจะไม่ต้องทำอะไรจนกว่าจะมีปัญหาผิวผุดขึ้นมาล่ะ เพราะการดูแลผิวที่เหมาะสมตั้งแต่ช่วงวัย 20 นั้นจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนของสุขภาพผิวของคุณในอนาคต และนี่คือขั้นตอนการดูแลรักษาผิวสาวของคุณให้มีสุขภาพดี ปราศจากริ้วรอย และดูเปล่งปลั่งสมวัยไปนาน ๆ

         ถ้าสาวๆ ดื่มจัด ปาร์ตี้หนักไม่ลดละ หรือจัดหนักเสมอช่วงสุดสัปดาห์ ผิวคุณจะโรยแรง เพราะแอลกอฮอล์ทำให้ผิวแก่ตัวลง ทำให้ดูแห้ง ซีดเซียว และบวมช้ำเช่นเดียวกับการสูบบุหรี่ทำให้คุณแก่ก่อนวัย เพราะเลือดไหลไปเลี้ยงร่างกายน้อยลง ที่ทำให้ออกซิเจนถูกส่งผ่านไปไม่ถึงผิวทำให้ผิวแห้ง การดึงคุณค่าต่าง ๆ ไปใช้ก็ลดประสิทธิภาพรวมทั้งวิตามินเอและซี ทำให้ขาดแคลนคอลลาเจน ไม่เพียงแต่ผิวคุณจะดูแห้งและอิดโรยริ้วรอยยังจะมาเยือนคุณก่อนถึงเวลาด้วย

         เราควรพบแพทย์ผิวหนังอย่างน้อยปีละครั้ง แพทย์ผิวหนังจะตรวจสภาพผิวคุณอย่างดี เพื่อตรวจหาไฝฝ้าที่ผิดปกติ และผิวที่จะเสียหายจากแสงแดด นอกจากนี้ยังจะช่วยแนะนำแนวทางที่ดีต่อสุขภาพผิวและจัดทรีตเมนต์ที่มีประสิทธิภาพให้ด้วย

         การทาครีมกันแดดตลอดคือสิ่งสำคัญต่อการดูแลผิวทุกรูปแบบ เพราะรังสีอุลตร้าไวโอเลตของดวงอาทิตย์ทำลายผิวได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดกระ ฝ้า จุดด่างดำ และผิวเสื่อมสภาพเร็วขึ้น รวมทั้งมะเร็ง ควรให้แน่ใจว่าคุณได้ทาครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพพร้อม SPF ค่าสูงอย่างน้อย 15 ขึ้นไปในทุก ๆ วัน แม้ว่าวันนั้นจะฟ้าครึ้มหรือคุณจะอยู่แต่ในอาคารก็ตาม

         การพักผ่อนให้เพียงพอ การออกกำลังกาย การดื่มน้ำอย่างน้อย8แก้ว การสวมแว่นกันแดดก็ยังเป็นอีกทางเลิกหนึ่งที่สาวๆควรจะทำด้วยนะค่ะ

รู้ได้อย่างไรว่าผิวเราขาดน้ำ

เมื่อผิวต้องการน้ำ


      สาวๆ ทราบไหมว่า หากร่างกายขาดน้ำ นอกจากจะส่งผลกระทบกับการทำงานของระบบต่าง ๆ อีกทั้งยังทำให้ผิวพรรณแห้ง หยาบกร้านและยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าผิวเราขาดน้ำ เรามีวิธีเช็คสภาพผิวหน้าง่าย ๆ มาฝากกันค่ะ



      เราไม่สามารถใช้เพียงน้ำมันเป็นตัวตัดสินสภาพของผิวหน้าได้ คนที่หน้ามันเงา จนแทบจะทอดไข่ได้ในแต่ละวัน ลองสังเกตดูว่า ผิวหน้าที่มันนี้แลดูแห้งกร้าน ไม่เรียบ มีริ้วรอยหรือไม่ เพราะความมันส่วนเกินบนใบหน้าอาจจะเกิดจากสภาพผิวที่ขาดน้ำ จนผิวหน้าต้องผลิตน้ำมันออกมาเพื่อหล่อเลี้ยงผิวแทนก็ได้นะ หรืออาจใช้ปลายนิ้วกดหรือยกผิวหนังบริเวณโหนกแก้มเบา ๆ คอยสังเกตว่าเกิดรอยแห้งบนผิวที่กดลงไปหรือไม่ ซึ่งรอยแห้งเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงสภาพผิวหน้าของเราว่าขาดน้ำมากน้อยแค่ไหน

      สำหรับการดูแลผิวที่ขาดน้ำ ก็ใช้หลักการไม่ยาก ในเมื่อขาด เราก็จัดการเติมน้ำส่วนที่ขาดให้กับผิวเราเสียสิคะ แน่นอนว่าเรามีวิธีการเติมน้ำให้ผิวมาฝากกัน

       หลักการพื้นฐานในการพื้นฟูสภาพผิวที่ขาดน้ำ คือ การดื่มน้ำ และใช้ครีมบำรุงผิวหรือมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีคุณสมบัติในการเติมน้ำให้กับผิวชั้นใน ประเภท Hydrate ทั้งหลาย เพราะหากเลือกเติมน้ำเฉพาะผิวชั้นนอก จะทำให้ใบหน้าของเราดูมันวาวมากเกินไป สำหรับสาว ๆ ที่ผิวมันเพราะผิวขาดน้ำไม่ต้องกลัวว่าใช้แล้วหน้าจะยิ่งมันมากขึ้น เพราะเมื่อผิวของเราชุ่มชื่นแล้ว การผลิตน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้าก็จะลดลง ทำให้ผิวหน้าของเราลดความมันลงได้

      พักผ่อนให้เพียงพอ ลดการนอนในห้องแอร์ที่ทำให้ผิวสูญเสียน้ำและแห้งกร้านได้ง่าย ซึ่งการนอนไม่เพียงพอในแต่ละวันจะทำให้ผิวหน้าของเราดูแก่ก่อนวัย แลดูเหนื่อยล้าได้

วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เทคนิคง่ายๆให้ปากน่าจูจุ๊บ

ปากเรียวน่าจูจุ๊บ




1. ดื่มน้ำเยอะ ๆ
     เริ่มต้นง่าย ๆ สู่การมีเรียวปากอมชมพูอิ่มเอิบด้วยการดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ฟังดูเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่เชื่อไหมคะว่าส่วนใหญ่คนเราดื่มน้ำกันวันละนิดเดียวเท่านั้นเอง อย่างมากก็แค่หลังกินข้าว ส่วนระหว่างวันมักจะดื่มชากาแฟ หรือน้ำหวานกันมากกว่า แต่ถ้าอยากให้ริมฝีปากอมชมพูยังไงก็ต้องเลือกดื่มน้ำเปล่าเท่านั้นนะจ๊ะ ดื่มให้มากพอกับความต้องการของร่างกาย ยิ่งถ้าคุณเป็นสาวกิจกรรมเยอะ เสียเหงื่อมาก ออกกำลังกายหนัก ก็ยิ่งต้องดื่มน้ำให้มากขึ้นตามไปด้วยนะคะ

2. เติมสีสดใสให้เรียวปากจากเมคอัพที่มีอยู่แล้ว
     วิธีเซฟมันนี่และให้เรียวปากดูมีสีระเรื่อสวยงามทำได้ด้วยการใช้ลิปบาล์มไม่มีสีทาลงไปที่ริมฝีปาก แล้วตามด้วยการใช้นิ้วป้ายบลัชออนหรืออายแชโดว์ในโทนสีชมพูไปแตะที่ริมฝีปากอีกที คราวนี้ก็มีริมฝีปากอมชมพูกันได้แล้วจ้ะ

3. ดื่มน้ำหวานต่าง ๆ โดยใช้หลอด
     เครื่องดื่มเย็น ๆ ที่คุณชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นกาแฟ ชาเย็น โกโก้ ฯลฯ หากจะดื่มมันก็ควรจะใช้หลอด เพื่อที่สีของเครื่องดื่มจะได้ไม่เปรอะเปื้อนริมฝีปากจนกลบสีริมฝีปากจริงไปหมดนั่นเอง

4. เบรกความคล้ำด้วยลิปบาล์มผสมสารกันแดด
     ผิวพรรณโดดแดดบ่อย ๆ ก็ดำคล้ำกันได้ ผิวจึงไม่เปล่งปลั่งสดใสอย่างที่ควร ริมฝีปากเองก็เช่นเดียวกันค่ะ อุตส่าอยากมีริมฝีปากอมชมพูสุขภาพดีแต่ดันตรากตรำกรำแดดแบบไม่ปกป้องผิวเลยก็คงจะเป็นไปได้ยาก เพราะฉะนั้นคุณก็ต้องปกป้องริมฝีปากจากแสงแดดด้วยการใช้ลิปบาล์มที่ผสมสารกันแดด เรียวปากจะได้ไม่คล้ำและดูสดใสอมชมพูได้ง่ายขึ้นค่ะ

5. ลิปบาล์มเจือสี เรียวปากชมพูระเรื่อสุขภาพดีแบบง่าย ๆ
     จะมีอะไรดีไปกว่าการได้บำรุงริมฝีปากและได้แต่งเติมสีสันชมพูระเรื่อสุขภาพดีไปพร้อม ๆ กัน คุณสามารถทำทั้งสองอย่างนี้ได้ด้วยลิปบาล์มแบบเจือสีเพียงแท่งเดียว ทาแล้วเรียวปากชุ่มชื้นอวบอิ่มแถมยังเจือสีอ่อน ๆ ทาแล้วระเรื่อสดใสเป็นธรรมชาติน่าจุ๊บสุด ๆ เลย

6. สครับริมฝีปาก
    สาว ๆ หลายคนอาจจะลืมไปว่าที่จริงแล้วริมฝีปากก็นับเป็นส่วนหนึ่งของผิวหนัง ผิวจะสวยก็ต้องขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปเพื่อให้ผิวใหม่ได้เผยความสดใสขึ้นมา ริมฝีปากเองก็ต้องการการสครับกำจัดเซลล์ที่แห้งลอกออกไปบ้างเช่นกัน ซึ่งคุณสามารถทำได้โดยใช้แปรงสีฟันขนนุ่ม ๆ ของคุณ แปรงวนเบา ๆ ที่ริมฝีปากหลังการแปรงฟันในตอนเช้าหรือก่อนนอนก็ได้ค่ะ ที่สำคัญหลังจากนั้นอย่าลืมตามด้วยการทาลิปบาล์มเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นด้วยจ้า

7. สะอาดกว่าสีก็ระเรื่อกว่า
     ผิวหนังที่สะอาดจะทำให้น้ำมันตามธรรมชาติมาหล่อเลี้ยงได้ดี ผิวส่วนนั้นจึงเปล่งปลั่งอย่างเป็นธรรมชาติ เช่นเดียวกับริมฝีปากที่หลังจากแต่งหน้าแล้วก็ต้องใช้คลีนซิ่งเช็ดทำความสะอาดคราบลิปสติกออกให้หมดจด เรียวปากที่สะอาดก็จะได้รับการบำรุงด้วยกลไกตามธรรมชาติของผิวหนัง เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้เรียวปากมีสีระเรื่อสุขภาพดีค่ะ

ขอขบคุณ www.kapook.com

วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ดูแลผิวส่วนสำคัญ

3 ส่วนสำคัญที่ควรต้องดูแล



1. ผิวหน้าอก 
       สำหรับผิวบริเวณหน้าอก โดยเฉพาะสาวๆเชื่อว่าจะใสได้ใจเป็นพิเเศษเพราะใครๆ ก็อยากมีหน้าอกที่เต่งตึง กระชับและเรียบเนียนสวย

แนะนำ: ผิวบริเวณหน้าอก เป็นช่วงผิวที่รับแสงแดดโดยตรง โดยเฉพาะสาวๆที่รักการเปิดเผย ผิวบริเวณหน้าอกก็ต้องพบเจอแสงแดด อย่างเสี่ยงไม่ได้ แต่หากสาวๆต้องการมีผิวหน้าที่นุ่มนวล และชุ่มชื่นก็ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด เพราะจะทำให้ผิวแก่เร็ว เกิดริ้วรอย และจุดด่างดำ ที่สำคัญควรทายากันแดด SPF สูงหากต้องออกแดดนานๆ

นอกจากนี้ก็ไม่ควรสูบบุหรี่เพราะจะทำให้เนินอกเสียสวย รวมทั้งไม่ควรสวมผ้าสังเคราะห์ เพราะจะทำให้ไม่มีอากาศถ่ายเทและอาจทำให้เกิดสิวและแบคทีเรียบริเวณหน้าอกได้อีกเช่นกัน

DO YOU KNOW ? ถ้าอยากมีผิวหน้าอกที่เรียบเนียน ชุ่มชื้นต้องดื่มน้ำให้มากเพื่อให้ผิวมีเกราะปกป้องตัวอง ดังนั้นจึงควรรับประทานผักและผลไม้บ่อยคุณรู้ไหม

2. มือ
       เป็นอวัยวะหนึ่งที่สามารถบ่งบอกได้ถึงอายุแและบุคลิกภาพไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย การดูแลมือจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ควรมองข้ามโดยเฉพาะสาวๆที่เป็นแม่บ้านแม่เรือน ต้องทำงานบ้านล้างจานซักผ้า ผิวมือสัมผัสกับสารเคมีและจำเป็นจะต้องล้างมืออยู่บ่อยครั้ง จึงทำให้มือหยาบกระด้าง ไม่น่าสัมผัส รวมไปถึงอาจเกิดการระคายเคืองได้อีกด้วย สิ่งที่ควรทำคือเมื่อทำความสะอาดผิวมือเสร็จแล้ว ควรชับมือให้แห้งและทาครีมทันทีเพราะเป็นช่วงที่ผิวหนังซึมชับมอยส์เจอร์ไรเซอร์ได้ดีที่สุด

แนะนำ: ควรเลือกครีมสำหรับทามือโดยเฉพาะ โดยเลือกที่มีส่วนผสมของนํ้ามัน เช่น นํ้ามันโจโจบา นํ้ามันเมล็ดองุ่น นํ้ามันอโวคาโดดีต่อการบำรุงผิวหนังรอบเล็บ

DO YOU KNOW ? ตัวการสำคัญสิ่งที่ทำร้ายมือของคุณได้แก่ ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มือด้าน ทางที่ดีควรจะใส่ถถุงมือ และควรเป็นที่ถุงมือที่มีขนาดยาวถึงแขน เพื่อป้องกันน้ำซึมเข้า และควรมีมากกว่า 1 คู่เพื่อสลับเปลี่ยนการใช้ เพราะถ้าใส่ถุงมือนานๆก็ไม่เป็นผลดีต่อผิวมืออีกเช่นกัน

3. ส้นเท้า:
       อย่างที่รู้กันว่าผิวของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนผิวแห้ง บางคนผิวชุ่มชื่น บางคนผิวหนา ขณะที่บางคนก็ผิวบาง ความแตกต่างของลักษณะผิวนี้เองที่ทำให้ความรุนแรงในการเกิดปัญหาส้นเท้าแตก ซึ่งส้นเท้าของเราทำหน้าที่ค่อนข้างหนัก เพราะต้องรับภาระ รับนํ้าหนักผิวบางคนรับนํ้าหนักเท่ากันไม่เป็นไร แต่กลับบางคนก็ส่งผลต่อผิวเท้าได้

แนะนำ: หลีกเลี่ยงรองเท้าประเภทที่ทำร้ายส้นเท้า พยายามเลือกชนิดที่มีบริเวณส้นเท้าที่นุ่มนวล และดีไปกว่านั้นก็ใส่ถุงเท้านุ่มๆด้วย เป็นการช่วยส้นเท้าของเราได้ดี

DO YOU KNOW ทาครีมสำหรับทาเท้าซึ่งมีคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื่นก่อนนอนก็สวมถุงเท้าเอาไว้จะทำให้ส้นเท้าคงความชุ่มชื้นอยู่ตลอดคืน หลีกเลี่ยงการปล่อยให้เท้าสัมผัสน้ำบ่อยๆหรือแช่น้ำนานๆและควรใส่รองเท้าหุ้มส้นคุณภาพดี

หน้าเด็กกว่าวัย

เคล็ดลับหน้าเด็ก


     ดร.พักตร์พิไล ทวีสิน' ผู้เชี่ยวชาญด้านการลดเลือนริ้วรอยแห่งวัยของผิวพรรณ ให้คำแนะนำถึงเคล็ดลับหน้าเด็กสำหรับสาวออฟฟิศว่า "ไม่ว่าสาวๆ จะประกอบอาชีพอะไรก็ตาม แต่เมื่อผู้หญิงอายุเลยวัย 30 ปีขึ้นไปควรดูแลผิวพรรณเป็นพิเศษ เนื่องจากเซลล์ผิวจะผลัดเซลล์ผิวช้าลง ผิวหน้าจะเริ่มปรากฏริ้วรอยแห่งวัยและความหมองคล้ำอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะริ้วรอยที่หน้าผาก บริเวณดวงตา และร่องแก้ม จึงแนะนำว่าควรใช้ครีมบำรุงผิวเพื่อการดูแลผิวพรรณแบบล้ำลึกและฟื้นฟูริ้วรอยแห่งวัยถึงระดับเซลล์ผิว เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ สาร CLA ช่วยฟื้นบำรุงผิวที่มีริ้วรอยให้กลับมานุ่มนวลและดูอ่อนเยาว์ขึ้น AHA ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ เผยผิวแลดูกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ และเรตินอลที่ช่วยคงความยืดหยุ่นบำรุงกระชับผิวมากยิ่งขึ้น โดยควรบำรุงผิวเป็นประจำทั้งเช้า-เย็นด้วยการใช้เดย์ครีมที่มี SPF 15 เพื่อช่วยป้องกันแดด พร้อมกับใช้ไนท์ครีมเพื่อผลลัพธ์ในการดูแลผิวพรรณที่ดียิ่งขึ้น พยายามไม่เครียดกับงานและนอนพักผ่อนให้เพียงพอ 8 ชั่วโมงต่อวัน ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ ดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 8 แก้ว รับประทานผักและผลไม้สีแดง เช่น มะเขือเทศ สตรอว์เบอร์รี่ ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินซีสูง ที่ช่วยบำรุงผิวขาวกระจ่างใสเปล่งประกาย"

ขอขอบคุณ sanook

วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

D.I.Y สูตรหมักผม

D.I.Y สูตรหมักผมง่ายๆ



       เชื่อว่าสาวๆหลายๆคนอยากมีผมสวยดุจแพรไหมกันใช่ไหมค่ะ แต่ติดที่ว่ามีปัญหากับเส้นผมกันซะก่อนเลยอดกันไปเป็นแถบๆ วันนี้Zayhaiเลยนำทริคมาฟื้นฟูสุขภาพเส้นผมกันดีกว่าค่ะ ว่าแล้วก็มาเริ่มกันเลย

1. สูตรดีท็อกซ์สารเคมีเพื่อผมนุ่มสวย
      นำเบียร์หนึ่งถ้วยตวงมาผสมกับน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิล หรือแอปเปิลไซเดอร์ (Apple Cider Vinegar) ปริมาณ ¼ ถ้วยตวง คนส่วนผสมให้เข้ากัน จากนั้นนำมาชโลมลงบนผมที่สระมาอย่างสะอาดแล้วให้ทั่วตั้งแต่โคนผมจรดปลายผม พร้อมทั้งนวดศีรษะเล็กน้อย จากนั้นให้ใช้หมวกคลุมอาบน้ำคลุมทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น การผสมผสานของเบียร์ซึ่งมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพผมอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้งคุณสมบัติล้างสารเคมีของแอปเปิลไซเดอร์ (Apple Cider Vinegar) จะช่วยคืนความนุ่มสลวยเงางามให้ผม

2. สูตรฟื้นฟูผมแห้งเสีย
      ผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิล หรือแอปเปิลไซเดอร์ (Apple Cider Vinegar) 1 ช้อนโต๊ะ คนส่วนผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน จากนั้นนำมาชโลมให้ทั่วผมที่แห้ง เสร็จแล้วคลุมด้วยหมวกคลุมอาบน้ำ หมักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที-1 ชั่วโมง และสระผมตามปกติ หมักผมด้วยสูตรนี้เป็นประจำ จะช่วยลดผมแห้งเสียแตกปลาย เปลี่ยนผมหยาบกระด้างให้กลับมานุ่มน่าสัมผัส



3. สูตรเพื่อผมนุ่มลื่นดุจแพรไหม
      นำข้าวโอ๊ตครึ่งถ้วยตวง ผสมกับน้ำมันสกัดจากเมล็ดอัลมอนด์ หรือน้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ และนมรสจืดครึ่งถ้วยตวง คนส่วนผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน นำมาชโลมบนผมแห้ง คลุมด้วยหมวกคลุมผมและหมักทิ้งไว้ 20-30 นาที เสร็จแล้วก็ล้างออกด้วยน้ำอุ่น และสระผมตามปกติอีกครั้ง สูตรนี้มีข้าวโอ๊ตเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งในข้าวโอ๊ตเองก็มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อผมเป็นอย่างมาก จึงสามารถช่วยให้ผมนุ่มสลวยดูมีสุขภาพดี และเงางามดุจแพรไหม

4. สูตรบำรุงผมอย่างล้ำลึก
      ผสมเนื้ออะโวคาโดสด 1 ลูกเข้ากับน้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน จากนั้นนำมาชโลมบนผมหมาดให้ทั่ว คลุมด้วยหมวกคลุมอาบน้ำ หมักทิ้งไว้ 20 นาที เสร็จแล้วล้างออกด้วยน้ำธรรมดา และสระผมตามปกติอีกครั้ง สูตรหมักผมอะโวคาโดนี้จะซึมซาบลงไปบำรุงเส้นผมอย่างล้ำลึก และนำเอาสารอาหารที่มีประโยชน์กับเส้นผมจากทั้งอะโวคาโดและน้ำมันมะกอก เข้าไปฟื้นฟูบำรุงชั้นผมที่แห้งเสีย เปราะบาง ให้กลับมาแข็งแรงเงางามได้ในที่สุด

5. สูตรกำจัดความมันส่วนเกิน
      สำหรับคนที่มีผมมันมากจนต้องสระผมทุกเช้า ไม่เช่นนั้นผมจะดูสกปรกเหมือนคนไม่ได้สระผมมาเป็นอาทิตย์ ก็ลองหมักผมด้วยสูตรนี้ได้เลย เพราะเป็นสูตรหมักผมที่จะช่วยลดความมันส่วนเกินบนเส้นผม ทำให้ผมดูสลวย ไม่จับกันเป็นก้อนแม้จะสระผมวันเว้นวัน วิธีทำก็ง่าย ๆ เพียงแค่นำโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 5 ช้อนโต๊ะ เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ มาผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำมาชโลมบนเส้นผมให้ทั่ว เน้นตรงโคนผมเป็นพิเศษ และหมักทิ้งไว้ประมาณ 30-40 นาที เสร็จแล้วก็ล้างออกด้วยน้ำอุณหภูมิปกติ สูตรนี้ไม่ควรใช้หมักผมบ่อยนะคะ สัปดาห์ละครั้งก็พอแล้ว ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้ผมสูญเสียน้ำมันมากเกินไป

6. สูตรเพื่อผมจัดทรงง่าย
      เตรียมกล้วยหอม 2 ผล ไข่ 1 ฟอง (คัดเอาเฉพาะไข่ขาว) โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ และน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ มาปั่นเข้าด้วยกัน จากนั้นสระผมให้สะอาด และนำส่วนผสมทั้งหมดไปชโลมลงบนผมให้ทั่ว คลุมด้วยหมวกคลุมอาบน้ำ หมักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีหรือมากกว่านั้น เสร็จแล้วให้สระผม พร้อมกับค่อย ๆ ใช้หวีซี่ห่างสางผม เพื่อกำจัดเศษกล้วยที่อาจจะติดค้างอยู่บนเส้นผมให้หมดไป และใช้แชมพูปริมาณเล็กน้อยสระผมให้สะอาดอีกครั้ง กล้วยหอมมีคุณสมบัติบำรุงผมให้นุ่มชุ่มชื้น พร้อมทั้งจัดทรงง่าย

7. สูตรเพื่อผมที่ถูกทำร้ายจากความร้อน
     ทั้งแสงแดดและความร้อนจากการจัดแต่งทรงผม อาจจะทำให้ผมของเราแห้งเสียแตกปลาย มีสุขภาพแย่ แต่เราก็สามารถฟื้นฟูผมที่ถูกความร้อนทำลายได้ง่าย ๆ ด้วยการนำมายองเนส 2 ถ้วยตวง ผสมเข้ากับน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ คนส่วนผสมทั้งสองอย่างให้เข้ากัน และนำมาชโลมลงบนผมที่แห้ง หมักทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง หรือถ้าคลุมด้วยผ้าที่มีความร้อนหรือได้อบไอน้ำก็หมักทิ้งไว้แค่ 30 นาที จากนั้นสระผมตามปกติ จนแน่ใจว่าล้างคราบมายองเนสออกหมดจดแล้ว และอย่าใช้ครีมนวดผมเด็ดขาดนะคะ


วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

จะทำอย่างไรดีเมื่อ"ขี้เกียจออกกำลังกาย"

เมื่อฉันขี้เกียจออกกำลังกาย



       เชื่อว่าใครหลายๆคนเคยคิดว่า"ฉันจะลดน้ำหนัก" "ฉันจะออกกำลังกาย" "ลดความอ้วน" แล้วก็เกิดอาการขี้เกียจ หรือผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ แต่วันนี้เรามีวิธีง่ายๆเพื่อหุ่นสวยของเรากันค่ะ

1. ตั้งเป้าไม่สูงเกิน
      ลองตั้งเป้าหมายแบบเป็นจริงและไม่ไกลเกินไป มากกว่าไปตั้งเป้าใหเชญ่แล้วทำไม่ได้ตามนั้น อาจเริ่มตั้งเป้าว่า ในหนึ่งอาทิตย์จะออกกำลังกายสัก 3 วัน หากคุณทำได้มากกว่านั้นก็ถือเป็นโบนัส แล้วจะทำให้รู้สึกดีที่ทำได้เกินกว่าที่ตั้งใจ

2. บันทึกความเปลี่ยนแปลง
      จดบันทึกการออกกำลังกายในแต่ละวัน หรือจะทำบันทึกออนไลน์ ให้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี อย่างเช่น สุขภาพที่ดีขึ้น หุ่นที่เริ่มกระชับ น้ำหนักที่หายไป ฯลฯ ล้วนช่วยเป็นกำลังใจให้ตัวเองได้อย่างดีว่าเราทำได้

3. หาสไตล์ของตัวเอง
      การออกกำลังกายนั้นมีหลายแบบ ไม่ว่าจะโยคะ ว่ายน้ำ เข้ายิม เต้นลีลาศ หรือแจ๊สแดนซ์ ซึ่งคุณอาจจะลองหากิจกรรมการออกกำลังกายที่เหมาะกับตัวคุณและที่คุณชื่นชอบ เพื่อช่วยกระตุ้นการลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวร่างกายของคุณให้น่าสนใจมากขึ้น



4. สร้างแรงจูงใจ
      หาแก๊งหรือเพื่อนมาร่วมออกกำลังกายด้วยกัน จะช่วยให้คุณมีแรงจูงใจมากขึ้นในการไปออกกำลังกาย เพราะมีเพื่อนคอยช่วยกันผลักดัน และยังช่วยให้ไม่รู้สึกว่าการออกกำลังกายน่าเบื่ออีกด้วย

5. หาผู้ช่วย
      หลายคนอยากออกกำลังกาย แต่บางทีก็ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน หรือจะตรงกับความต้องการหรือไม่ ก็อาจจะต้องหาที่ปรึกษา ไม่ว่าจะเป็นเทรนเนอร์ตามสถานที่ออกกำลังกายต่าง ๆ เพื่อให้แนะนำวิธีออกกำลังกายให้เป็นไปตามเป้า และยังช่วยกระตุ้นให้คุณไม่ขี้เกียจอีกด้วย

6. ปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์
      ความขี้เกียจในการออกกำลังกาย หลายครั้งมาจากความรู้สึกของการที่ต้องทำเพิ่ม แต่หากลองหากิจกรรมให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ดูล่ะ อย่างเช่น หากคุณเป็นคนรักสุนัข ก็อาจพาเจ้าสุนัขสุดรักออกมาวิ่งพร้อมกัน หากคุณเป็นพ่อหรือแม่ก็อาจชวนครอบครัวมาปั่นจักรยานหรือไม่ก็วิ่งพร้อมกัน ก็จะทำให้เป็นกิจกรรมที่ไม่ใช่แค่คุณคนเดียว แต่เป็นสิ่งที่มีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง และตั้งตารอจะทำร่วมกัน ซึ่งก็ทำให้คุณเบี้ยวไม่ได้


ขอขอบคุณ Modern Mom

วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

"อย่าปล่อย"ให้น้องหนูอับชื้น

อย่าปล่อย..ให้น้องสาวหนู"อับชื้น"



       พญ.ธิศรา วีรสมัย สูตินรีแพทย์ รพ.พญาไท 1 ให้ข้อมูลว่า ปกติแล้วสภาพช่องคลอดของผู้หญิงนั้นจะมีความสมดุลของความเป็นกรดและด่างอยู่ภายใน แต่เมื่อไรก็ตาม หากบริเวณช่องคลอดมีความเป็นด่าง ก็ถือเป็นสาเหตุหนึ่งของการติดเชื้อ ซึ่งความเป็นด่างนั้นมีสาเหตุมาจากความเปียกชื้นในช่วงหน้าฝน หรือแม้แต่การใส่กางเกงที่มีความกระชับแน่นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นสาเหตุของการเกิดปัญหาจุดซ่อนเร้นที่พบได้บ่อย ๆ โดยเฉพาะ "การติดเชื้อราในช่องคลอด"

       พญ.ธิศรา เผยว่า เนื่องจากในช่วงหน้าฝนนั้นอากาศจะชื้น จึงส่งผลให้เสื้อผ้าที่ซักตากนั้นไม่แห้ง ทำให้เกิดการติดเชื้อราได้ที่บริเวณช่องคลอด ส่งผลให้เกิดอาการคันและมีตกขาวที่บริเวณดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ควรซักและอบเสื้อผ้าให้แห้งสนิท และตรวจเช็คสภาพการใช้งาน หากพบเชื้อราควรเปลี่ยนชุดชั้นในใหม่ทันที นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาปฏิชีวนะในระหว่างเป็นหวัด ไอ จาม เพื่อป้องกันไม่ให้ยากลุ่มดังกล่าวไปกดภูมิคุ้มกันในร่างกายให้อ่อนแอลง จนเป็นสาเหตุการเกิดเชื้อราในช่องคลอดนั่นเอง

       นอกจากนี้ยังพบ "การติดเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อพยาธิ" ที่ปนเปื้อนมากับท่อน้ำประปา หรือห้องน้ำสาธารณะที่ไม่สะอาด ก็เป็นอีกตัวการหนึ่งที่ทำให้บริเวณจุดซ่อนเร้น มีตกขาวมีสีเหลืองเป็นฟอง หรือมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ดังนั้นคุณสาว ๆ จึงควรเลือกเข้าห้องน้ำที่มั่นใจว่าสะอาด หรือควรหลีกเลี่ยงการใช้ห้องน้ำสาธารณะ ขณะเดียวกันหลังการเข้าห้องน้ำ ควรเช็ดหรือซับบริเวณจุดซ่อนเร้นให้แห้งสนิท โดยไม่ปาดจากหน้าไปหลัง พร้อม ๆ กับการเลือกสวมใส่กางเกง หรือกระโปรงที่มีการระบายเพื่อป้องกันความอับชื้น

       คุณหมอธิศรา ยังกล่าวอีกว่า เชื้อโรคที่หลายคนคาดไม่ถึงในช่องคลอดอย่าง "เชื้อเริม" เป็นไวรัสชนิดเดียวกับโรคอีสุกอีใส (คนละสายพันธุ์) ที่ส่งผลให้คุณสาว ๆ เกิดอาการปวดแสบปวดร้อน อาจมีอาการคัน เจ็บจี๊ด ๆ หรือปวดแสบปวดร้อน ต่อมาจะมีอาการบวม และอีก 2-3 วันจะมีตุ่มน้ำพองใสเหมือนหยดน้ำเล็ก ๆ มีขอบแดง ตุ่มน้ำมักจะแตกออกใน 24 ชั่วโมง และตกสะเก็ดเป็นแผลถลอกตื้น ๆ อย่างไรก็ตามตุ่มนั้นอาจจะรวมเป็นกลุ่มใหญ่ และเป็นแผลกว้างทำให้ปวดมาก

       สำหรับอาการดังกล่าวสามารถป้องกันได้ ด้วยการดูแลภูมิคุ้มกันภายในช่องคลอดให้มีความเป็นกรด เช่น ในระหว่างที่มีประจำเดือน ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อย ๆ และล้างทำความบริเวณช่องคลอดด้วยน้ำสะอาด เนื่องจากเลือดประจำเดือนมีความเป็นด่าง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการติดเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ง่าย

       สำหรับคุณสาว ๆ ที่มีรูปร่างท้วม และไม่ค่อยออกกำลังกาย ประกอบกับความอับชื้นบริเวณดังกล่าวนั้น คุณหมอเผยว่า สามารถพบ "การอุดตันรูขุมขนบริเวณหัวหน่าว" ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับหัวสิวและเกิดอาการเจ็บปวดได้ ดังนั้น การหลีกเลี่ยงหรือป้องกันอาการอุดตันดังกล่าว ทำได้โดยการอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย และเช็ดให้แห้งทันทีหลังการออกกำลังกาย หรือมีเหงื่อออกมาก ก็ช่วยป้องกันโรคติดเชื้อบริเวณจุดซ่อนเร้นได้

วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ครีมกันแดดกับเครื่องสำอาง SPF สูง

ครีมกันแดด VS เครื่องสำอางSPFสูง

       ในการปกป้องผิวจากแสงแดดให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดนั้น คุณต้องทาครีมกันแดดปริมาณ 2 เมกะกรัมต่อพื้นที่บนผิว 1 ตารางเซนติเมตร ซึ่งถ้าคุณใช้แต่ครีม รองพื้นที่มีค่า SPF คุณก็ต้องเพิ่มปริมาณจากปกติถึง 7 เท่า แต่ถ้าเป็นแป้งที่มี SPF ก็ต้องทามากกว่าเดิมถึง 14 เท่า นอกจากนี้ เม็ดสีในเครื่องสำอางยังอาจทำให้สารกันแดดเกิดการแตกตัว จึงต้องทาซ้ำทุก ๆ สองชั่วโมงสรุปว่าเครื่องสำอางที่มีค่า SPF อาจไม่ช่วยอะไรดังนั้นคุณจึงควรทาครีมกันแดดทุกวันก่อนแต่งหน้าเสมอ


การเลือกครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพสูง

       ผู้ที่มีผิวบอบบางปานกลาง ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 ก็เพียงพอ หรือมากกว่านั้นถ้าต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง ส่วนผู้ทีมีผิวบอบบางมาก ๆ หรือเคยได้รับอันตรายจากแสงแดด ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 45 หรือ 60

       สำหรับผู้ที่มีผิวที่ทนต่อแสงแดดได้การใช้ครีมกันแดดก็มีความจำเป็นนะ อย่างไรก็ควรต้องใช้ครีมกันแดดอยู่ดี เพียงแต่สามารถเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF ไม่สูงมาก อาจจะแค่ 8 หรือ 20 ก็เพียงพอแล้ว เพื่อป้องกันรังสียูวีเอไม่ให้เข้าไปกระตุ้นการทำงานของเมลานินให้ผิดปกติ และก่อให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังในภายหลังได้

       สำหรับเด็ก ควรเลือกค่า SPF 60 ในการปกป้องผิวสำหรับเด็กเสมอเพราะผิวเด็กมีความบอบบางมากต้องการ การปกป้องมากเป็นพิเศษและควรเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กโดยเฉพาะด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เคล็ดลับดูแลผิวแพ้ง่าย

เคล็ดลับดูแลผิวบอบบางแพ้ง่าย

       สำหรับสาวๆที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย ดูจะโชคร้าไปหน่อยนะค่ะ เพราะไม่ว่าจะทำอะไรถ้าหากดูแลไม่ดีก็อาจจะมีผื่นคัน สิวขึ้น เสี่ยงต่อหน้าพังได้ ดังนั้นคุณสาวๆที่มีผิวในลักษณะนี้ก็คงต้องพิถีพิถันในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงต้องดูแลผิวใส ๆ ด้วย วันนี้เราเลยมาแนะนำเคล็ดลับดีๆสำหรับคุณๆที่มีผิวบอบบางกันค่ะ



1. ไม่ควรใช้สบู่ล้างหน้า
       ส่วนมากสบู่จะมีสารอัลคาไลน์ (alkaline) ซึ่งสามารถทำลายค่า pH ในผิวเรา ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น จนแห้งและบอบบางมากยิ่งขึ้น ทางที่ดีจึงควรใช้โฟมล้างหน้าออยล์ฟรีสูตรอ่อนโยน เพื่อป้องกันผิวหน้าแห้งแตกขาดความชุ่มชื้น นอกจากนี้ก็ไม่ควรใช้น้ำเย็นจัด หรือน้ำร้อนล้างด้วย ให้ใช้น้ำที่อุณหภูมิห้องล้างหน้าจะเหมาะที่สุดค่ะ

2. อย่าสัมผัสหน้าบ่อย ๆ
       ผิวที่บอบบางมักจะสะสมและดูดซับสิ่งสกปรกได้ง่ายกว่าผิวชนิดอื่น ซึ่งถ้าหากว่าเราใช้มือสัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ ก็จะยิ่งกระจายเชื้อโรคและความสกปรกได้มากเท่านั้น โดยเฉพาะกับผิวบอบบางที่เป็นสิว หรือผื่นคันอยู่แล้ว ดังนั้นก็เลี่ยงใช้มือสัมผัสหน้าจะดีกว่า หรือถ้าเกิดอาการระคายเคืองจนทนไม่ไหว แนะนำให้ใช้คอตตอนบัดค่อย ๆ เกลี่ยผิวอย่างนุ่มนวลแทนการใช้มือนะคะ

3. บำรุงความชุ่มชื้นอย่างเหมาะสม
       ผิวบอบบางจะมีปัญหาผิวขาดความชุ่มชื้นพอ ๆ กับคนที่มีผิวแห้ง ดังนั้นเราก็ควรจะหมั่นบำรุงรักษาความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างถูกวิธี รวมไปถึงควรจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมด้วย เช่น มอยส์เจอไรเซอร์สูตรอ่อนโยน ยิ่งถ้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติก็จะยิ่งดี เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงจากการแพ้สารเคมีได้เยอะ หรือครีมที่มีกรดกรดซาลิไซลิค (salicylic) อย่างเหมาะสมก็จะสามารถช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้ผิวเราได้อีกทางหนึ่ง


4. นอนหลับให้เพียงพอ
       รู้ไหมคะว่าการอดนอนไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของเราเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีผลเสียต่อผิวพรรณ ทำให้ผิวบอบบางอ่อนแอมากขึ้นอีกด้วย ฉะนั้นเราจึงต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมง เพื่อให้ผิวได้พักผ่อน และฟื้นฟูสภาพจากการต้องตากกรำแสงแดดและมลพิษในแต่ละวัน และก็พยายามอย่าเครียด เพราะความเครียดก็สามารถทำร้ายผิวให้เหี่ยวย่น และอ่อนแอกว่าปกติได้เหมือนกันค่ะ

5. ปกป้องผิวจากแสงแดด
       ผิวบอบบางมีโอกาสที่จะถูกแสงแดดและมลภาวะทำลายได้ง่าย ดังนั้นเราก็ควรปกป้องผิวเบื้องต้นด้วยการทาครีมกันแดดสูตรออยล์ฟรีทุกครั้ง หรือถ้าเป็นไปได้ก็ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ๆ ด้วย นอกจากนี้การรับประทานอาหารอย่างถูกวิธีก็จะช่วยได้มาก โดยคนที่มีผิวบอบบางไม่ควรจะรับประทานอาหารรสจัด หรืออาหารที่มีรสหวานจนเกินไป อีกทั้งควรพิถีพิถันกับการเลือกใช้เครื่องสำอางด้วย อย่าใช้เครื่องสำอางที่ดูอันตรายและไม่ปลอดภัยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นอาจเกิดอาการแพ้ได้ง่าย ๆ เลยนะจ๊ะ

6. ล้างเครื่องสำอางให้หมดจด
        ทุกครั้งที่แต่งหน้า ก่อนจะนอนหลับก็ควรเช็ดล้างเครื่องสำอางทุกชนิดบนใบหน้าของเราให้หมดจด เพราะเครื่องสำอางที่ตกค้างอยู่บนผิวหน้าเรา จะปิดกั้นไม่ให้ผิวได้หายใจ อีกทั้งความสกปรกต่าง ๆ ก็จะฝังตัวอยู่บนผิวหน้าเรา ก่อให้เกิดอาการแพ้ ผื่นคัน และรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย ๆ


วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

5 สูตรมาร์คหน้าสาวผิวธรรมดา

5 วิธีมาร์คหน้าสำหรับสาวผิวธรรมดา



       สำหรับสาวๆผิวธรรมดาคุณมีผิวที่ดีมากกจนน่าอิจฉา เพราะคุณมีผิวที่มีความสมดุลมาก เนื้อผิวที่เรียนละเอียด มีความชุ่มชื้นอยู่ในตัว แต่ถึงอย่างนั้นเราก้อไม่อยากให้เสียความสมดุลของใบหน้าไปใช่ไหมค่ะ ดังนั้นเรามาดูแลผิวธรรมดาให้อยู่กับเราไปนานๆดีกว่าค่ะ

1. ไข่แดง+น้ำมันมะกอก+รำข้าว
       ผสมไข่แดง 1 ฟอง กับน้ำมันมะกอก 1 ช้อนชาและรำข้าว 2-3 ช้อนชาเข้าด้วยกัน คนจนส่วนผสมทุกอย่างมีความข้นเหนียวพอประมาณ จากนั้นก็นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วก็ค่อยล้างออก มาส์กสูตรนี้จะช่วยให้ผิวหน้าของคุณนุ่มชุ่มชื่นด้วยน้ำมันมะกอก และรำข้าวก็จะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป ส่วนไข่แดงก็จะให้สารอาหารที่สำคัญกับผิว ให้ผิวดูเนียนใสมีสุขภาพดีอยู่เสมอ

2. กล้วย+น้ำผึ้ง+น้ำส้ม
       ถ้าอยากกให้หน้าดูอ่อนเยาว์ ให้บดกล้วยครึ่งหวีให้ละเอียด แล้วนำมาพอกหน้า ทิ้งไว้ 20 นาที และล้างออกด้วยน้ำอุ่น หรือจะเพิ่มส่วนผสมอย่างน้ำผึ้ง ที่มีคุณสมบัติช่วยฆ่าเชื้อและทำความสะอาดสิ่งอุดตันที่อยู่ในรูขุมขนได้หมดจดเข้าไปด้วยก็ได้ หรือจะเพิ่มวิตามินซีให้มาส์กด้วยการผสมน้ำส้มประมาณครึ่งลูก บดเข้ากับกล้วยครึ่งลูก แล้วนำมามาส์กหน้า หมักทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที และล้างออกด้วยน้ำอุ่นอย่างอ่อนโยนก็ดี ถ้ามาส์กหน้าด้วยกล้วยเป็นประจำจะช่วยให้ผิวหน้ากระชับ เต่งตึงโดยไม่ต้องพึ่งโบท็อกซ์กันเลยทีเดียว

3. สตรอว์เบอร์รี
      คืนความสดใสให้ผิวหน้าด้วยมาส์กสตอเบอร์รี่ เพียงแค่หั่นสตอเบอร์รี่ครึ่งลูก บดให้ละเอียดและคลุกเคล้ากับแป้งข้าวโพดประมาณ 1 ช้อนโต๊ะให้พอเหนียว จากนั้นก็นำมาหมักหน้าทิ้งไว้ 30 นาที เสร็จแล้วก็ล้างออกด้วยน้ำเย็น และซับหน้าให้แห้งด้วยผ้าขนหนู

4. โยเกิร์ต+น้ำส้ม+ว่านหางจระเข้
       ผ่อนคลายความเหนื่อยล้าด้วยโยเกิร์ต 1 ช้อนชา น้ำส้ม 2 ช้อนชา และว่านหางจระเข้ 1 ช้อนชา (ห้ามมากกว่านี้) คนส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากัน เสร็จแล้วนำมามาส์กหน้าทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

5. ไข่ไก่+น้ำมะนาว+นมผงชนิดไร้ไขมัน+สารสกัดวิซฮาเซล 
       ผสมไข่ได้ 1 ฟอง น้ำมะนาว 1 ลูก นมผงชนิดไร้ไขมัน 4 ช้อนโต๊ะ และสารสกัดวิซฮาเซล 1 ช้อนโต๊ะลงในเครื่องปั่น ปั่นให้เป็นเนื้อเดียวกันและนำมามาส์กให้ทั่วใบหน้าและลำคอ หมักทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น หากมาส์กหน้าด้วยสูตรนี้เป็นประจำ จะช่วยให้ผิวหน้านุ่มใส สะอาดและดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ

5 วิธีมาร์คหน้าสำหรับสาวผิวมัน

5 สูตรมาร์คหน้าสำหรับสาวผิวมัน

     
 
     ผิวมันเป็นผิวที่น่ากังวลมากที่สุด เพราะนอกจากจะมีความมันวาวแล้วยังส่งผลให้เกิดรูขุมขนกว้าง และที่สำคัญปัญหาสิวก็จะตามมา โดยเฉพาะหน้าร้อน อากาศร้อนๆแบบเมืองไทยแล้วควรดูแลเป็นพิเศษเลยค่ะ

1. สตอเบอร์รี+โยเกิร์ต
       นำสตอเบอร์รี 1 ผลมาล้างให้สะอาด จากนั้นนำไปบดให้ละเอียด ผสมโยเกิร์ตรสธรรมชาติลงไป 1 ช้อนชา คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 15-20 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น โยเกิร์ตจะช่วยลดความมันส่วนเกินออกจากใบหน้า ส่วนวิตามินซีที่มีอยู่ในสตรอว์เบอร์รีจะช่วยบำรุงผิวหน้าให้ใสเนียน

2. เลมอน+ข้าวโอ๊ต+โยเกิร์ต
       นำข้าวโอ๊ต 1 ถ้วยเล็กไปปั่นให้ละเอียด เสร็จแล้วผสมโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำเลมอน 1 ช้อนชาลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน และนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 10-15 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น เลมอนจะช่วยกระชับรูขุมขน และข้าวโอ๊ตจะช่วยสครับเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดไป เผยผิวกระจ่างใสไร้ความมัน

3. แตงกวา+โยเกิร์ต
       นำแตงกวาครึ่งลูก ปอกเปลือกและล้างให้สะอาด จากนั้นนำมาปั่นรวมกับโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ช้อนโต๊ะ เมื่อส่วนผสมคลุกเคล้าจนเป็นเนื้อเดียวกันก็นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น แตงกวาจะช่วยเพิ่มความสดชื่นให้ผิวหน้า และทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นไม่หยาบกร้าน อีกทั้งยังสามารถลบเลือนจุดด่างดำได้ด้วยจ้า

4. แอปเปิล+น้ำผึ้ง
       นำแอปเปิล 1 ผลมาล้างและปลอกเปลือก เขี่ยเมล็ดออกให้หมด จากนั้นนำไปปั่นรวมกับน้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ คลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้ากัน แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 10-15 นาที เสร็จแล้วก็ล้างออกด้วยน้ำอุ่น มาส์กสูตรนี้จะทำให้คุณจะรู้สึกว่าผิวหน้าสะอาดสดชื่น และเต่งตึงขึ้นค่ะ

5. น้ำมะนาว
      น้ำมะนาวมีกรดวิตามินซี ที่สามารถกำจัดน้ำมันส่วนเกินออกจากผิวเราได้ นอกจากนี้ยังช่วยผลัดเซลล์ผิว และเสริมสร้างเซลล์ผิวใหม่ให้ขาวใสขึ้นอีกด้วย ดังนั้นคุณก็สามารถนำน้ำมะนาวมาทาลงไปบนใบหน้าของคุณได้เลย แต่ระวังอย่าให้เข้าตาเด็ดขาดนะคะ ไม่เช่นนั้นอาจจะแสบตาและระคายเคืองตาได้ หรือคุณจะใช้วิธีนำสำลีชนิดแผ่นไปชุบน้ำมะนาว แล้วนำมาแปะบนใบหน้าก็ได้

วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เปลี่ยนปากดำๆเป็น"ปากชมพู"กันเถอะ

เคล็ดลับทำปากชมพูง่ายๆ



       ก่อนอื่นเลยเราควรที่จะรู้เลยว่า สาเหตุของปากดำๆคล้ำๆของเรามาจากอะไร เพราะบางคน อาจเปิดจากพันธุกรรม แพ้เครื่องสำอาง แพ้แสงแดด ชอบเลียริมฝีปาก แต่วันนี้เรามีเคล็ดลับดีๆมาช่วยดูแลริมฝีปากของเราให้สวยอมชมพูกันค่ะ ที่สำคัญจะให้เห็นผลได้ดีควรทำต่อเนื่องนะค่ะ

1.ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ทำให้ปากดำ
       โดยส่วนใหญ่แล้วสาเหตุของปากดำคล้ำ มักเกิดการพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของเราเองทั้งสิ้น เช่น การเลียริมฝีปาก การสูบบุหรี่ แพ้ยาสีฟัน หรือแพ้ลิปสติก เป็นต้น หากสังเกตแล้วพบว่าแพ้ผลิตภัณฑ์ใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับปากให้หยุดหรือเปลี่ยนไปใช้ยี่ห้ออื่นแทน

2.สครับริมฝีปากอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง
       วิธีที่ 1 น้ำผึ้ง + น้ำตาล + วาสลีน : ใช้สัดส่วนเท่า ๆ กันอย่างละ ½ ช้อนชา ผสมกวนให้พอเข้ากันแล้วนำไปนวดวนให้ทั่วริมฝีปาก ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที จากนั้นให้ใช้สำลีชุบน้ำอุ่นเช็ดออก วิธีนี้จะช่วยทำให้ผลัดเซลล์ผิวที่ดำคล้ำกลับมามีสีแดงระเรื่อแถมยังได้ปากที่เนียนนุ่มขึ้นทันตาเห็นอีกด้วยล่ะค่ะ



       วิธีที่ 2 น้ำมะนาว + น้ำนม + น้ำตาล : ทั้งสามอย่างนี้ใช้อย่างละ ½ ช้อนชาอีกเช่นกัน ผสมรวมกันแล้วทาทิ้งไว้ให้ทั่วปากหรืออาจใช้สำลีชุบแล้วพอกทิ้งไว้ที่ปากประมาณ 5 นาที แต่ทาคุณเป็นแผลที่ปากควรหลีกเลี่ยงวิธีการนี้

3.ใช้แปรงเป็นตัวช่วยทุก ๆ ครั้งหลังแปรงฟัน
       ใครจะรู้ว่าของใกล้ตัวอย่างแปรงสีฟันนี้ก็ช่วยแก้ปัญหาปากดำได้เหมือนกัน หลังจากที่คุณสาว ๆ แปรงฟันเสร็จแล้วให้ใช้แปรงค่อยถูไปมาแบบเบา ๆ บริเวณริมฝีปากบนและล่างทำเป็นประจำทุกวันติดต่อกัน จะช่วยขจัดเซลล์เก่าที่ตายแล้วทำให้ปากดูอมชมพูขึ้นได้

4.หมั่นทาลิปสติกบำรุงริมฝีปากอยู่เสมอ
       ลิปมันที่มีส่วนผสมของสารกันแดดก่อนทาลิปสติกสีทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ปากดำคล้ำมากยิ่งขึ้นไปอีก ส่วนก่อนนอนก็ควรทาพอกลิปบำรุงให้ชุ่มชื่น ซึ่งอาจพกไปทาเพิ่มในระหว่างวันด้วยก็ได้

5 สิ่งช่วยให้รองพื้นหน้าเนียน

5 สิ่งช่วยรองพื้นให้หน้าเป๊ะ !

       การแต่งหน้าให้สวยเดี๋ยวนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฝีมือเท่านั้น แต่เริ่มจากการบำรุง รองพื้นให้หน้าเนียนสวยติดทนนาน  แต่ว่าการใช้รองพื้นก็อาจทำลุคการแต่งหน้าไม่เป็นไปตามธรรมชาติ หากว่าคุณใช้ผิดพลาด ดังนั้นวันนี้เราเลยมาแนะนำวิธีใช้รองพื้นกันดีกว่าค่ะ


1. การใช้รองพื้นสีเข้มไม่ได้ทำให้ผิวดูเป็นสีแทน 
       หลาย ๆ คนอาจเคยลองใช้ครีมรองพื้นที่เข้มกว่าผิวจริงเพราะหวังจะให้ผิวหน้าดูเป็นสีแทนเซ็กซี่ แต่ว่านี่เป็นวิธีที่ผิดถนัดเลยค่ะ เพราะว่ามันดูหลอกตา แถมสียังตัดกับส่วนอื่น ๆ ของร่างกายอย่างผิดธรรมชาติถ้าอยากมีผิวสีแทนยังไงก็ต้องใช้รองพื้นที่มีสีตรงกับสีผิวจริงของคุณมากที่สุดเอาไว้ก่อน จากนั้นจึงสร้างความโกลวของผิวแทนด้วยการปัดบรอนเซอร์แทนนะจ๊ะ

2. หากต้องการความบางเบาต้องรองพื้นเนื้อเหลวเท่านั้น
       หากต้องการแต่งหน้าให้ดูเบา ๆ แต่ยังคงความเรียบกริบเป๊ะทุกองศา ควรเลือกใช้แบบที่เป็นเนื้อออกไปทางเหลว ๆ เพราะจะเกลี่ยง่าย กระจายตัวบนผิวอย่างบางเบา แต่ยังให้การปกปิดได้อยู่

3. เพิ่งเริ่มหัดใช้รองพื้น ควรเลือกแบบไหนดี ?
       สำหรับมือใหม่หัดแต่งหน้า เริ่มจากการกลบเกลื่อนจุดบกพร่องของผิวอย่างรอยคล้ำใต้ดวงตาด้วยคอนซีลเลอร์เสียก่อน จากนั้นลงรองพื้นด้วยการใช้แปรงเพื่อความเนียนสวยสม่ำเสมอ เริ่มลงจากตรงกลางไปหน้า แล้วค่อย ๆ เกลี่ยออกไปจนถึงกรอบหน้าและไรผม ลากแปรงยาว ๆ หากต้องการความบางเบา หรือลากสั้น ๆ เน้นแปรงหนักมือขึ้นตรงจุดที่ต้องการการปกปิดเป็นพิเศษ เท่านี้ขั้นตอนการเตรียมผิวด้วยรองพื้นก็เสร็จสมบูรณ์อย่างไร้ที่ติแล้ว

4. ทารองพื้นในหน้าร้อนแล้วไม่สบายผิวหน้า มีวิธีแก้ไขไหม ?
      ในหน้าร้อนรูขุมขนจะขยายขึ้น ผลิตน้ำมันมากขึ้น แถมยังมีเหงื่อมาผสมด้วย จึงไม่แปลกอะไรที่จะรู้สึกหนักและไม่สบายผิวหน้า ลองเปลี่ยนไปใช้รองพื้นที่เนื้อบางเบากว่าเดิมและช่วยควบคุมความมัน ก็จะช่วยหใรู้สึกดีกับผิวขึ้นได้ ส่วนสาวที่ผิวมันจริง ๆ อาจต้องอาศัยลงรองพื้นเนื้อบางเบาที่ช่วยควบคุมความมัน แล้วอาศัยใช้แป้งผสมรองพื้นสูตรคุมความมันปัดทับอีกทีจ้า

5. ปัดแป้งฝุ่นตาม จะทำให้รองพื้นติดทนนานกว่าเดิม
     ใครที่ประสบปัญหารองพื้นหลุดเลือนไปในระหว่างวัน จากหน้าสวยเป๊ะก็ค่อย ๆ กลายเป็นหน้าโทรมไปอย่างช่วยไม่ได้ ยังพอมีตัวช่วยอยู่ด้วยวิธีการปักแป้ง โดยหลังลงรองพื้นแล้วรอสักครู่เพื่อให้มันเซตตัวเนียนไปกับผิว ใช้กระดาษทิชชูวางกดเบา ๆ ทั่วใบหน้าเพื่อซับความมันออกไปชั้นหนึ่งก่อน แล้วใช้แปรงหัวกลมใหญ่แตะแป้งฝุ่นแบบโปร่งแสงปัดทับลงไปทั่วหน้า แป้งจะช่วยให้รองพื้นเซตตัวได้ดีขึ้น และคอยดูดซับความมันจากใบหน้า ทำให้รองพื้นเลือนช้า ติดผิวหน้าได้นานขึ้น

วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

หยุด ! ทำลาย"น้อง" โดยไม่รู้ตัว

4 สิ่งทำลาย"น้องหนู"โดยไม่รู้ตัว



1. น้ำยาอนามัย สาว ๆ รักสะอาดที่ซื้อหาน้ำยาเฉพาะจุดซ่อนเร้นมาใช้อาจกลายเป็นการทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัว น้ำยาพวกนี้ยังไม่มีการทดลองที่มากพอจะเชื่อได้ว่ามีประโยชน์จริง ทั้งยังมีการแต่งสี แต่งกลิ่น และมีค่าความเป็นกรด-ด่างที่อาจทำให้สมดุลเปลี่ยนแปลงไปได้
คุณควร ใช้แค่น้ำเปล่าธรรมดาหรือสบู่เด็กล้างแค่ภายนอกก็พอ อย่าล้วงเข้าไปล้างข้างในเด็ดขาด


2.แผ่นอนามัย ชื่อฟังดูดี แต่ถ้าใส่เจ้าแผ่นอนามัยขนาดมินินี้ทุกวัน เชื้อราทั้งหลายคงจะร่าเริงนักเชียว เพราะแม้จะเป็นแค่แผ่นบาง ๆ แต่ระบบระบายอากาศของมันก็ไม่ได่ดีเท่าไหร่นัก น้องหนูของคุณจะอับชื้นมาก ๆ
คุณควร ใส้ผ้าอนามัยเท่าที่จำเป็นเท่านั้นอาจใช้แผ่นอนามัยในวันท้าย ๆ ของการมีประจำเดือนแค่ 2-3 วันก็พอแล้ว


3. ชุดชั้นในเก่ากึก ชุดชั้นในเป็นสิ่งที่อยู่แนบกับน้องหนูของคุรทั้งวันทั้งคืน ฉะนั้น เรื่องความสะอาดจึงเป็นอะไรที่มองข้ามไปไม่ได้เด็ดขาด
คุณควร ซักและผึ่งแดดให้แห้งสนิท และยังควรเปลี่ยนบ่อย ๆ ด้วยเพื่อลดการเกิดเชื้อรา


4. ยาปฏิชีวนะ ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ก็ไม่ควรกินยากลุ่มนี้ เพราะฤทธิ์ยานอกจากจะปราบพวกแบคทีเรียตัวร้ายนี้แล้วแบคทีเรียตัวดี ๆ มันก็ไม่เว้นเหมือนกัน
คุณควร ปรึกษาแพทย์ก่อน และทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

ขอขอบคุณ teenee

พรางจุดด้อยการแต่งตัวของสาวผิวคล้ำ

เทคนิคเพิ่มความสวยของ"สาวผิวคล้ำ"

เลือกเสื้อผ้าที่มีสีโทนกลาง ๆ
        เพราะสีสันคือสิ่งสำคัญที่จะช่วยทำให้สาว ๆ ที่มีผิวคล้ำดูโดดเด่นขึ้นได้ ควรเลือกสีที่ไม่จัดจ้านและจืดชืด มากจนเกินไป เช่น ม่วงอมแดง เขียมเข้ม ฟ้า ส้มแก่ เทา ครีมนู้ด แต่หากสาว ๆ คนไหนอยากใส่สีจี๊ด ๆ บ้างอะไรบ้างก็สามารถมิกซ์ แอนด์ แมทช์ให้เข้ากับเสื้อคลุม ผ้าพันคอสีพื้น ๆ ที่อ่อนกว่าก็ได้ เพราะสีอ่อนเหล่านี้จะช่วยเจือสีที่จัดจ้านให้ดูนุ่มนวลและเหมาะกับผิวคล้ำ ได้มากยิ่งขึ้น


มองหาสไตล์แฟชั่นที่เหมาะสมกับตัวเอง
       นอกจากสีสันแล้ว สไตล์ของเสื้อผ้า รองเท้าและกระเป๋า ก็ช่วยทำให้เราสวยเป๊ะ มั่นใจขึ้นได้เหมือนกัน ดังนั้นสาว ๆ จึงควรสำรวจความชอบและสไตล์ของตัวเองก่อน จากนั้นจึงเลือกเสื้อผ้าในลุคนั้น ๆ มาใส่เพื่อเสริมความมั่นใจ เช่น เดรสลายกราฟิก สูทสีครีม คลัทช์ตอกหมุด รองเท้าส้นสูงสีแดงเลือดหมู เป็นต้น


ใส่เครื่องประดับแวววาว
       จะเผยความสวยของสาวผิวคล้ำให้ครบสูตรทั้งที ก็ต้องมีเครื่องประดับมาตกแต่งเพิ่มเติมด้วยสักหน่อย โดยเฉพาะสร้อยคอสร้อยข้อมือและต่างหูสีเงินหรือสีทองที่มีการประดับตกแต่ง เพชร คริสตัล เพื่อช่วยขับผิวและทำให้การแต่งตัวในวันนั้นดูมีลูกเล่นมากยิ่งขึ้น


แล้วอย่าลืมพกความมั่นใจเข้าไปอีกด้วย
       เมื่อได้ลุคสวยที่เหมาะกับสาวผิวคล้ำแล้ว สาว ๆ ก็อย่าลืมเติมมั่นใจกันด้วยนะคะ เพียงฉีกยิ้มกว้าง ๆ แล้วมั่นใจกับบุคลิกของตัวเองในทุก ๆ วัน เท่านี้รัศมีความสวยก็เปล่งประกายแล้วล่ะค่ะ



ขอขอบคุณ ladytips.com

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

พิชิตเซลลูไลท์

6 Step กำจัดเซลลูไลท์



สเต็ปที่ 1 กินผัก ผลไม้สดให้มากเข้าไว้
ใยอาหารจากผักและผลไม้จะทำหน้าที่เข้าไปกวาดเจ้าเซลลูไลท์ที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนัง แล้วถ่ายเทไปเก็บไว้ในลำไส้พร้อมจะขับถ่ายออกไป


สเต็ปที่ 2 ขัดผิวทุกครั้งที่อาบน้ำในตอนเช้า
ตอนเช้าเลือดลมจะไหลเวียนดีกว่าในตอนเย็ยน ถ้าใช้ใยบวบนิ่มๆ ขัดวนเป็นวงกลมตามเข็มนาฬิกาจะช่วยสลายไขมันใต้ผิวหนังได้เร็วขึ้น


สเต็ปที่ 3 งดอาหารฟาสต์ฟู้ด
ฟาสต์ฟู้ดมีชื่อเล่นๆ ว่าอาหารขยะ เพราะมันอุดมไปด้วยเกลือกับไขมันที่เป็นตัวการความอ้วน ถ้าไม่เลิกพาขยะเข้าไปสะสมไว้ในร่างกาย แล้วเมื่อไหร่ล่ะไขมันที่มาจากอาหารขยะจะหมดไปจากหุ่นสลิมของคุณสักที




สเต็ปที่ 4 บอกลาแอลกอฮอล์และน้ำอัดลม
พอกันทีกับเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยน้ำตาล เพราะร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นไขมัน แล้วนำเอาไปเก็บไว้ในรูปแบบของเซลลูไลท์ที่อยู่ใต้ผิวหนัง ถ้าบอกลาน้ำหวานพวกนี้ก็เท่ากับคุณได้บอกลาเซลลูไลท์ไปด้วยนะคะ


สเต็ปที่ 5 อาบน้ำอุ่น
น้ำอุ่นช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิต เมื่อเลือดลมไหลเวียนดีก็จะไปแทรกซอนกัดเซาะไขมันใต้ผิวหนัง


สเต็ปที่ 6 ออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน
ออกกำลังกายเลือดลมสูบฉีดแรง เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดแล้วในการมีรูปร่างเฟิร์มกระชับ ถ้าไม่ว่างพอที่จะ ออกกำลังกายนานๆ แค่เดินขึ้นลงบันไดให้ได้วันละ 15 นาที เพียงเท่านี้คุณก็ผอมลงได้แล้วล่ะค่ะ

ขอขอบคุณ teenee

วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

"เต้าหู้"ช่วยลดความอ้วน

"เต้าหู้"ช่วยลดน้ำหนักได้จริง



       หนังสือ สมุนไพร 91 ชนิด พิชิตโรค ชุด ตำรายาล้ำค่าของหมอโฮจุน ที่ยูเนสโกคัดเลือกให้เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก จากสำนักพิมพ์อินสปายร์ บันทึกไว้ว่า เต้าหู้ (TOFU) คือถั่วเหลืองที่โม่เป็นแป้งแล้วทำเป็นแผ่น ๆ ใช้เป็นอาหาร มี 2 ชนิด คือ เต้าหู้ขาวและเต้าหู้เหลือง เต้าหู้มีเนื้อนิ่ม รสจืด เชื่อกันว่ามีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นของจีน ซึ่งอยู่ระหว่าง 206 ปี ก่อน ค.ศ. ถึง ค.ศ. 220

       ปัจจุบันเต้าหู้เป็นอาหารโปรตีนสำคัญในการทำอาหารของผู้คนแถบเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เต้าหู้ทำจากถั่วเหลือง เริ่มด้วยการแช่เมล็ดถั่วเหลืองในน้ำ นำไปบดแล้วต้มเพื่อทำเป็นนมถั่วเหลืองและน้ำเต้าหู้ข้น ๆ จากนั้นเติมสารที่ทำให้แข็งตัว ซึ่งจะแยกเอาส่วนที่เป็นเนื้อออกจากกัน เนื้อเต้าหู้ที่ได้จะตัดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมหล่อน้ำไว้

       คุณประโยชน์มากมายของเต้าหู้ อาทิ ช่วยบำรุงกำลังและช่วยให้อวัยวะในระบบย่อยอาหารแข็งแรงขึ้น ช่วยถอนพิษ ลดไข้ ขจัดอาการกระหายน้ำ ป้องกันความดันโลหิตสูง ป้องกันหลอดเลือดแดงแข็งตัวและป้องกันการสะสมไขมันบริเวณตับ ที่สำคัญ เต้าหู้ยังช่วยป้องกันโรคอ้วน ลดน้ำหนัก ได้อีกด้วย เนื่องจากมีแคลอรีน้อย

       เต้าหู้นอกจากเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีแล้ว ในเต้าหู้ยังมีสารเลซิทิน (LECITHIN) เป็นสารชนิดหนึ่งในประเภทฟอสฟอลิพิด (PHOSPHLIPID) มีความสำคัญในโครงสร้างเซลล์และเมแทบอลิซึม ประกอบด้วย ฟอสเฟต โคลีน กลีเซอรอล ในฐานะเอสเตอร์และกรดไขมันสองชนิด คู่กรดไขมันต่าง ๆ ทำให้แบ่งแยกเลซิทินต่าง ๆ กันได้ ซึ่งเมื่อถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะถูกย่อยเป็นโคลีน

       โคลีน (CHOLINE) เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่สัมพันธ์กับวิตามินในแง่กิจกรรม พบอยู่ในตับและลำไส้ เยื่อบุผิวลำไส้ ต่อมหมวกไตชั้นนอก โคลีนมีความสำคัญในเมแทบอลิซึม โดยเป็นองค์ประกอบหนึ่งของลิพิดที่ประกอบขึ้นเป็นเยื่อหุ้มเซลล์ และยังสำคัญในแง่เป็นแหล่งวัตถุดิบทางเคมีสำหรับเซลล์ และในการลำเลียงไขมันจากตับ มักถูกจัดเป็นประเภทเดียวกับวิตามินบี เพราะมีหน้าที่และกระจายตัวในอาหารคล้ายกัน

ขอขอบคุณ เดลินิวส์

วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ลดน้ำหนักเพียง 30 นาที

ออกกำลังกายลดน้ำหนักเพียง 30 นาที



วิธีลดน้ำหนัก ด้วยการออกกำลังกายโดยการวิ่ง


ใช้เวลา 30 นาที สามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้ 374 แคลอรี่ เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดละ แทบจะไม่ต้องหาอุปกรณ์อะไรเพิ่มเติมเลย เพียงแค่คุณวิ่ง วิ่ง วิ่ง และวิ่ง ไปเรื่อยๆจนครบ 30 นาที วิ่งไปไหนก็ได้จากปากซอยไปท้ายซอย สวนสาธาณะ วิ่งในหมู่บ้าน หรือคุณไม่อยากจะวิ่งไปไหนก็วิ่งวนอยู่แถวบ้านนั่นแหละ ไม่ต้องกำหนดระยะทาง ขอให้วิ่งไปจนครบ 30 นาทีให้ได้เป็นพอ แต่ถ้าจะให้ดีควรจะวิ่งเร็วสลับกับวิ่งช้าไป และสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราอยากออกมาวิ่งมากยิ่งขึ้นคือ รองเท้าวิ่งดีๆซักคู่หนึ่ง ขณะออกวิ่งให้แกว่งแขนเป็นวงแคบๆ ให้ใกล้ตัว อย่าเอียงไปข้างหน้า ยกเท้าไม่ต้องสูงมาก ยกเท้าให้อยู่ชิดกับพื้นมากที่สุด และวางน้ำหนักของเท้าให้ลงจุดกึ่งกลางของเท้าพอดี แล้วค่อยไล่ขึ้นไปถึงปลายเท้า


วิธีลดน้ำหนัก ออกกำลังกายโดยการกระโดดเชือก
ใช้เวลา 30 นาที สามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้ 340 แคลอรี่ เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีพื้นที่เช่นคอนโด ลองไปหาซื้อเชือกที่ไว้ใช้สำหรับกระโดดเชือกมา โดยสามารถหาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไปโดดแรกๆ ไม่ต้องโดดถึง 30 นาทีหรอก มันหนักไป ค่อยเริ่มจาก 15 นาทีก่อน แล้วก็เพิ่มไปเรื่อยๆ ไม่ต้องกระโดดให้สูงมาก เอาแค่พ้นเชือกที่แกว่งพอ โดดสูงมาจะทำให้ข้อต่างๆรับแรงกระแทกมากเกินไปพอเริ่มโดดเก่งขึ้นแล้วให้ลองสลับความเร็วในการกระโดดดู ช้าบ้างเร็วบ้าง หรือสลับขาโดด โดดขาเดียว แนะนำอีกอย่างควรจะใส่รองเท้ากีฬากระโดดนะ โดดกับพื้นเปล่าๆหนังเท้าด้านแน่ๆ

วิธีลดน้ำหนัก ออกกำลังกายโดยการเล่นฮูลาฮูป
ใช้เวลา 30 นาที สามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้ 300 แคลอรี่ เคยโดนเพื่อนล้อว่าไม่มีเอวบ้างหรือไม่ มาลองเล่นฮูลาฮูปดู ค่อยๆเล่นไปนะ แรกๆอาจจะยังทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ถ้าเรามีความพยายามเดี๋ยวก็ทำได้ โดยให้หมุนไปรอบเอว จากเดิมที่ยืนหมุนอยู่กับที่ก็ให้เดินไปข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้างทำจนกลายเป็นว่าเอวเราสามารถหมุนฮูลาฮูปได้โดยอัตโนมัตินั่นแหละ วิธีซื้อฮูลาฮูป ก็ให้เอาฮูลาฮูปขนาดต่างๆ มาตั้งขึ้น ถ้าความสูงประมาณอกของเรา แสดงว่าอันนั้นแหละเหมาะกับเรา

วิธีลดน้ำหนัก ออกกำลังกายลดโดยการตีเทนนิส
ใช้เวลา 30 นาที สามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้ 272 แคลอรี่ ไม่ใช่ว่าจะต้องเล่น 2 คนเสมอไป ลองหาลานกว้างๆ หน่อยแล้วก็มีกำแพง ติดบอลอัดกำแพงไปเรื่อย โดยยืนห่างจากกำแพงซัก 3-8 เมตร แล้วตีลูกเทนนิสอัดกำแพงไป ขณะที่ลูกเทนนิสสะท้อนกำแพงกลับมาให้ลูกเทนนิสเด้งพื้นก่อน 1 ครั้งแล้วค่อยตีอัดเข้าไปใหม่ จะต้องกะน้ำหนักให้ดีไม่เบาหรือหนักจนเกินไป ถ้าเบาไปลูกเทนนิสก็จะเด้งมาไม่ถึงเรา หรือถ้าหนักไป ก็จะกระเด็นเลยเราไปอีก และขณะที่ตีต้องอาศัยทักษะในการตีเล็กน้อยโดยตีลูกเทนนิสให้โดนจุดกึ่งกลางของหน้าไม้เทนนิสด้วยโฟรแฮนด์ และแบ็คแฮนด์ แนะนำให้ตีในระยะใกล้ๆและช้าๆ ก่อน พอเริ่มชำนาญแล้วจึงค่อยๆเพิ่มระยะและความเร็วในการตี


วิธีลดน้ำหนัก ออกกำลังกายโดยการเต้น
ใช้เวลา 30 นาที สามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้ 221 แคลอรี่ ถ้าคุณเป็นคนชอบเสียงดนตรีอยู่แล้วลองหาเพลงที่คุณชอบมีจังหวะที่น่าเต้นมาซัก 10 เพลง แล้วก็เริ่มเลย เต้นไปเรื่อยๆ ยกแข้งยกขา ชูไม้ชูมือถ้าไม่รู้จะเต้นท่าไหน ก็เต้นๆไปเถอะโยกหัวโยกตัว ไม่ต้องไปสนใจว่ามันจะสวยงามหรือดูดีหรือไม่ เราเต้นอยู่ในห้อง หรือจะไปเต้นให้คนอื่นดูก็ได้นะถ้าคุณมั่นใจ แนะนำให้ใส่รองเท้ากีฬาขณะเต้นด้วยนะเผื่อว่าจะเต้นมันส์ไปมันจะทำให้ลื่นล้มได้ง่ายๆ

วิธีลดน้ำหนัก ออกกำลังกายโดยการเดินเร็ว
ใช้เวลา 30 นาที สามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้ 170 แคลอรี่ คล้ายๆ กับวิ่งนั่นแหละค่ะ แต่ใช้เดินเร็วแทน เป็นวิธีลดน้ำหนักที่ไม่ต้องเสียอะไรมากมาย

ประจำเดือนกับการลดความอ้วน

ประจำเดือนกับการลดน้ำหนัก



       ในช่วงที่เรามีประจำเดือนเราจะมีอาการหลากหลาย ล้วนแต่เป็นผลมาจากฮอร์โมนในร่างกายเราที่เปลี่ยนแปลง เราสามารถแบ่งเป็น 5 กลุ่มใหญ่ๆได้แก่

           -เจ้าน้ำตา
           -ท้องอืด (นี่เราก็เป็น)
           -ขี้โมโห
           -ไม่มีแรง
           -หิวบ่อย (อันนีก็เป็น เป็นทุกเดือน)
           -น้ำหนักขึ้น

       อาการหิวบ่อย สาเหตุของอาการหิวบ่อยเกิดจากการที่สาร ”เซโรโทนิน”ในร่างกาย ลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงก่อนมีรอบเดือนค่ะ ทำให้ร่างกายของเราต้องการคาร์โบไฮเดรตมากกว่าปกติ เพื่อให้ร่างกายใช้ของหวานไปเพิ่มสารตัวนี้ นับว่าเป็นกลไกทางธรรมชาติ เพราะอะไรผู้หญิงจึงได้มีอาการก่อนมีประจำเดือน แพทย์หลายคนจะตอบว่าเป็นเพราะสมดุลของฮอร์โมนในร่างกายผิดปกติ โดยเชื่อกันว่ามีฮอร์โมนอยู่สองชนิดที่น่าจะเกี่ยวข้องกับอาการนี้ นั่นคือ ฮอร์โมนโพรเจสเทอโรน (Progesterone) และ โพรแลกติน (prolactin) ก่อนมีประจำเดือน ฮอร์โมนทั้ง 2 ชนิดนี้จะมีระดับสูงขึ้น มีผลทำให้เราหงุดหงิด ขี้โมโห และมีอาการอื่นๆอีกเป็นร้อยอาการทีเดียว



ลดอย่างไรในขณะมีประจำเดือน

      สิ่งที่คนลดความอ้วนพยายามทำกันก็คือ พยายามที่จะจำกัดอาหารให้เท่ากับที่ตนเองเคยรับประทานมาก่อนหน้านี้ แต่สุดท้ายก็ตะบะแตก  แต่มีสิ่งหนึ่งที่หลาย ๆ คนมองข้ามไปก็คือ ช่วงก่อนมีประจำเดือนนั้น การเผาผลาญพลังงานของร่างกายก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน โดยมีการทำการทดลองเรื่องการเผาผลาญพลังงานช่วงก่อนมีประจำเดือน และพบว่าการเผาผลาญพลังงานในช่วงก่อนมีประจำเดือนนั้นเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 100-500 kcal/วัน (แล้วแต่บุคคล) ในประเด็นดังกล่าวนี้ แนะนำว่า ให้คุณผู้หญิงที่ลดความอ้วนทุกคนที่มีอาการหิวโหยในช่วงเวลาก่อนที่มีประจำเดือนรับประทานอาหารได้เพิ่มมากขึ้น 200-500 kcal /วัน (ห้ามเกินกว่านี้เด็ดขาด) ซึ่งนั้นก็พอ ๆ กับอาหารอีก 1 มื้อ เช่นกัน


      ดังนั้น หากคุณโหยหาอาหารช่วงก่อนมีประจำเดือนก็ทานเถอะ อย่าหักห้ามใจตัวเองให้มากนัก เพราะโดยปกติแล้วส่วนใหญ่มักจะหักห้ามใจตนเองกันไม่ได้ และก็มักจะจบด้วยอาหารขยะทั้งหลาย สาเหตุหลักก็เพราะว่าเมื่อความอยากอาหารที่ประทุออกมามีมาก อาหารที่สามารถตอบสนองความอยากดังกล่าวได้ดีที่สุดก็มักเป็นอาหารขยะทั้งหลาย สุดท้ายก็มักจะจบลงด้วยการกินเกินกว่า 500 Kcal ดังนั้น คุณผู้หญิงควรจะเลือกกินอาหารที่เป็นประโยชน์เมื่อความหิวเริ่มประทุขึ้น อย่ารอให้ความหิวโหยถึงขีดสุด ไม่อย่างงั้นคุณอาจจะควบคุมมันไม่ได้

วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ลดรอยสิวด้วยธรรมชาติรอบตัว

วิธีแก้ไขรอยสิว



1. มะนาว
       ผลไม้แสนเปรี้ยวนี้มีกรดผลไม้หรือ เอเอชเอ (AHA, Alpha Hydroxy Acid) ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นกรด แต่เป็นกรดอ่อน และเป็นกรดธรรมชาติ ฤทธิ์ต่างๆ จึงไม่ได้รุนแรงอะไรมากมาย เราสามารถนำมาใช้ประโยชน์ลดรอยหลงเหลือจากสิวได้โดยการนำสำลีพันปลายไม้ จุ่มลงในน้ำมะนาว จากนั้นนำไปนวดถูเบาๆ ที่รอยสิวให้ทั่ว กรดจะจัดการทำให้เซลล์ผิวด้านนอกสุดอ่อนตัวลง จากนั้นทิ้งเอาไว้ราวๆ 20 นาทีแล้วค่อยล้างผิวด้วยน้ำธรรมดา ทำแบบนี้บ่อยๆ ทุกวันจนกว่ารอยจะจางลง

2. มะเขือเทศ
       ผลไม้สีแดงอย่างมะเขือเทศ ทั้งมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ มีซีลีเนียมที่ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์ มีวิตามินซีจำนวนมาก และอีกมากมาย นอกจากนี้เราสามารถมาลดรอยสิวได้ง่ายๆ โดยการนำมาผ่าครึ่ง แล้วเอาด้านเนื้อถูเบาๆ กับรอยสิวที่มีอยู่สัก 20 นาที มะเขือเทศจะช่วยทั้งทำให้รอยสิวอ่อนลง และช่วยทำให้ผิวยืดหยุ่นดีขึ้น เสร็จแล้วอย่าลืมล้างออกด้วยนะค่ะ

3. ไข่ขาว
       ไข่ขาว ที่ล้อมรอบไข่แดงอ่ะแหละค่ะ คุณฟังไม่ผิดหรอก เพียงใช้สำลีพันปลายไม้เช่นกัน จุ่มเฉพาะไข่ขาวนำมานวดกับรอยที่หลงเหลือจากการเป็นสิว ไข่ขาวเป็นยาชั้นดีที่สามารถจัดการกับรอยสิวเก่าๆ ได้ดีและยังทำให้จางลงอีกด้วยค่ะ

4. แตงกวา
     ผักสีเขียว เป็นที่รู้กันดีว่าอุดมไปด้วยวิตามินเอ แตงกวาก็เช่นเดียวกันสามารถลดการอักเสบและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว แต่ความพิเศษของแตงกว่าคือไม่มีความเป็นกรดอยู่ในตัวดังนั้นจึงไม่มีฤทธิ์ในการกัดผิว และไม่จำเป็นต้องรีบล้างออกหลังจากสัมผัสแล้ว จึงสามารถที่จะทิ้งไว้บนหน้านานๆ ได้ (ถึงว่าคนเขาชอบพอกหน้าด้วยแตงกว่าจนหลับกันนี่เอง)

5. เบคกิ้งโซดา
       เบคกิ้งโซดา (Baking soda) มีชื่อทางเคมีว่า โซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium bicarbonate) เป็นสารเคมีที่ใช้ช่วยให้ขนมปังต่างๆ โดยเบคกิ้งโซดาจะช่วยทำให้รูขุมขนหายอุดตัน ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวอักเสบและยังช่วยลอกผิวได้อีกด้วย วิธีใช้ให้เอาเบคกิ้งโซดาผสมกับน้ำจนมีลักษณะเป็นครีมแล้วป้ายลงบนบริเวณที่เป็นรอยแผลจากสิว ทิ้งไว้ 2-3 นาทีจากนั้นล้างออกให้หมด ทำแบบนี้วันละสองครั้งจนกว่ารอยจะจางไปค่ะ

6. สูตรหวานปานน้ำผึ้ง
       นอกจากหวาน กินอร่อย เป็นน้ำตาลจากธรรมชาติแล้วก็ยังช่วยเรื่องการลดรอยแผลจากสิวได้อีก น้ำผึ้งเป็นยาช่วยทำความสะอาดทั้งผิวและรูขุมขนชั้นดีชนิดหนึ่งเลย ให้ใช้น้ำอุ่นจัดทำความสะอาดผิวหน้าก่อน จากนั้นทำให้ผิวแห้งลงโดยเร็ว (เป่าด้วยลมก็ได้) วิธีการนี้จะเป็นการเปิดรูขุมขนและทำให้น้ำผึ้งสามารถแทรกซึมเข้าไปได้ ทาน้ำผึ้งให้ทั่วบริเวณทั้งตรงจุดที่เป็นรอยจากสิวและบริเวณรอบๆ จากนั้นรอสัก 20 นาทีแล้วล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นมากหน่อย แล้วทำหน้าให้แห้งอีกครั้งแล้วเอาน้ำแข็งก้อนลูบให้ทั่วผิวหน้าเพื่อเป็นการปิดรูขุมขน วิธีการนี้จะไม่สามารถลดรอยแผลจากสิวได้ทั้งหมดด้วยการทำเพียงครั้งเดียวหรอกนะคะ แต่ถ้าทำเป็นประจำล่ะก็จะช่วยแก้รอยสิวให้ลดลงได้เลยทีเดียว

วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ปัดแป้งให้หน้าใส

เทคนิคปัดแปรงให้หน้าเนียนใส

        หน้าคนเราเดี๋ยวนี้จะใสกริ๊กได้นั่น นอกจากจะมาจากพื้นเพของผิวหน้าแล้ว สมัยนี้มีนวัตกรรมใหม่ สำหรับคนที่ผิวหน้ายังไม่ใสแต่อยากใส นั่นคือ บีบี กับแป้งที่ใช้ วันนี้เราเลยจะมาแนะนำทริคเด็ดๆปัดแป้งแบบโปรๆกันดีกว่าค่ะ

ชนิดของแป้ง

แป้งฝุ่น
แป้งทาหน้าชนิดฝุ่นบางเบา ปกปิดเล็กน้อย เหมาะกับคนผิวแห้งที่ต้องการความขาววิ้งกำลังดี

แป้งอัดแข็ง
เรียกอีกอย่างว่าแป้ง เพรส ใช้สะดวก พกพาง่าย ปกปิดได้ดี เหมาะสำหรับคนผิวมัน

อุปกรณ์พื้นฐาน

แปรงปัดแป้ง
ใช้ได้กับทั้งแป้งฝุ่น และแป้งอัดแข็ง ช่วยให้ทาแป้งได้บางเบา ไม่หนาจนเกินไป เหมาะกับการแต่งหน้าแบบวาวฉ่ำ ปล. ควรเลือกแปรงที่ทำจากขนสัตว์ เพราะจะช่วยลดการระคายเคืองของผิวหน้า

ฟองน้ำ
ใช้ทาผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเป็นเนื้อครีมข้น และเคลือบผิวเป็นหลัก รวมถึงใช้ทาแป้งอัดแข็ง ช่วยให้เครื่องสำอางติดทน และปกปิดได้ดี เหมาะสำหรับคนผิวมัน

พัฟฟ์
เหมาะกับการทาแป้งฝุ่น โดยแตะเนื้อแป้ง พับครึ่ง แล้วถูกแป้งให้กระจายทั่วพัฟฟ์ ก่อนตบเกลี่ยเบาๆ ลงบนผิวหน้า ปล. ผิวของพัฟฟ์ที่ดีต้องเก็บเนื้อแป้งได้ดี เพราะจะช่วยให้ทาเกลี่ยได้ง่าย

แปรงรูปพัด
ใช้ปัดแป้งส่วนเกินออกจากหน้า โดยแปรงที่ดีต้องมีขนแปรงยืดหยุ่น



การทาแป้งกับสภาพผิวแบบต่างๆ

ผิวธรรมดา
ทาแป้งแบบบางเบา ปกปิดเล็กน้อย แป้งฝุ่น + พัฟฟ์

วิธีการใช้
ใช้พัฟฟ์ปิดปากกระปุก แต่ไม่ต้องกดจนแน่น (เพราะการกดแน่นจะทำให้เนื้อแป้งไม่ติดพัฟฟ์) คว่ำกระปุกลง เขย่าสองสามครั้ง จะเห็นว่าเนื้อแป้งติดพัฟฟ์มาในปริมาณที่พอดี จากนั้นพับครึ่งพัฟฟ์ถูเข้าด้วยกัน จึงแตะพับลงบนใบหน้า ตบเบาๆ จากแก้ม หน้าผาก  จมูก  คาง ตามลำดับ ส่วนบริเวณเล็กๆ เช่น รอบดวงตา บริเวณจมูก พับครึ่งพัฟฟ์ แล้วใช้มุมของพัฟฟ์แตะเบาๆ เทคนิคนี้จะช่วยให้ใบหน้าเรียบเนียน สม่ำเสมอ และเมคอัพติดทนค่ะ

ผิวแห้ง
ทาแป้งแบบบางเบา ชุ่มชื้น และเสริมให้เครื่องสำอางติดทนนานขึ้น  แป้งฝุ่น + แปรงปัดแป้ง

วิธีการใช้
ปิดฝากระปุกไว้ เอียงกระปุก แล้วใช้นิ้วเคาะกระปุกแป้ง เปิดฝาออกอย่างระมัดระวัง ใช้แปรงแตะแป้งให้ทั่วแปรง เคาะแปรงที่หลังมือเบาๆ เพื่อให้แป้งส่วนเกินหลุดออก จากนั้นปัดแปรงเบาๆ จากแก้ม  หน้าผาก  จมูก คาง ตา ตามลำดับ เมื่อปัดจนทั่วแล้ว ให้ตั้งหัวแปรงขึ้น ปัดบริเวณจมูกและตา ปัดซ้ำที่เปลือกตาอีกครั้ง เทคนิคนี้จะทำให้หน้าคุณเนียนแห้งสบาย ดูมันวาวเล็กน้อย

ผิวผสม
ต้องการการปกปิด และความชุ่มชื้นแป้งอัดแข็ง + แปรงปัดแป้ง

วิธีการใช้
ปัดแป้งอัดแข็งให้ติดแปรงในปริมาณที่พอเหมาะ ถ้าอยากให้หน้าดูชุ่มชื้นให้ตั้งแปรงให้ตรง แล้วใช้เฉพาะปลายแปรงปัดแป้ง เสร็จแล้วใช้นิ้วเคาะแปรงเบาๆ เพื่อให้แป้งส่วนเกินหลุดออก เริ่มปัดแป้งจากบริเวณกว้างของหน้าออกไปทางด้านข้าง จากนั้น ตั้งแปรงขึ้นแล้วปัดเบาๆ บริเวณรอบดวงตาและจมูก ผิวหน้าจะดูมันวาวน้อยกว่าการทาแป้งฝุ่นด้วยแปรง แต่ปกปิดได้ดีกว่าเป็นเท่าตัว

ผิวมัน
ต้องการการปกปิด และดูแมตต์  แป้งอัดแข็ง + ฟองน้ำ

วิธีการใช้
พัฟฟ์ทำให้ผิวหน้าดูแห้ง และเนียนลื่น ส่วนฟองน้ำช่วยให้เครื่องสำอางติดทนนานและดูดซับความมันส่วนเกิน ต้องการให้ผิวหน้าเป็นแบบไหนก็เลือกใช้ตามใจชอบค่ะ มาถึงการทาแป้งสำหรับสาวผิวมัน ให้ใข้ฟองน้ำแตะแป้งแล้วพับครึ่งเพื่อให้เนื้อแป้งกระจายทั่ว จากนั้นตกเกลี่ยแป้งทั่วใบหน้า เวลาทาใช้ฟองน้ำกดเบาๆ บนผิวหน้า รวมถึงบริเวณจมูก และตา จะช่วยให้เครื่องสำอางติดทนและดูดซับความมันส่วนเกิน หลังจากนั้น ใช้แปรงรูปพัดปัดแป้งส่วนเกินออก โดยใช้ปลายแปรงปัดเบาๆ

สมองของผู้หญิง

19 สิ่งน่ารู้เกี่ยวกับสมองของผู้หญิง




       สมองของคนเราเป็นสิ่งอัศจรรย์มาก เป็นอวัยวะที่ซับซ้อนมาก แต่คุณรู้หรือไม่ว่า สมองของคนเรานั้นผู้หญิงกับผู้ชายล้วนทำงานแตกต่างกัน และสิ่งนี้เองจึงเป็นที่มาว่าทำไมผู้หญิงเข้าใจยากจัง ดังนั้นวันนี้เรามาทำความรู้จักกับสมองของผู้หญิงดีกว่าค่ะ

1. ขนาดของสมองส่วนหน้า (Frontal Lobe) และสมองส่วนอารมณ์ (Temporal Lobe) ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาและการตอบสนองทางอารมณ์ของผู้หญิงใหญ่กว่าผู้ชาย จึงทำให้ผู้หญิงแก้ปัญหาต่าง ๆ และมีทักษะในการใช้ภาษาและอารมณ์ได้ดีกว่า

2. สมองของผู้หญิงมีการเชื่อมต่อระหว่างสมองสองซีกอยู่เกือบตลอดเวลา ทำให้ผู้หญิงถนัดนักเรื่องการทำหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน

3. สมองส่วนลิมบิก (Limbic Brain) ของผู้หญิงจะมีหยักลึกใหญ่ ส่งผลให้ผู้หญิงมีความรู้สึกที่ละเอียดจับอารมณ์และความรู้สึกได้เร็วกว่า แสดงอารมณ์ได้ละเอียดลออ จึงมีความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์หรือประสานความสัมพันธ์ได้ดีกว่า

4. ผู้หญิงจะใช้สมองทั้งสองซีกในเรื่องการสื่อสารและภาษา ดังนั้น ถ้าสมองซีกซ้ายที่ปกติเป็นส่วนที่ดูแลเรื่องภาษาถูกทำลาย ผู้หญิงก็ยังจะสามารถใช้สมองซีกขวาในการสื่อสารได้

5. ผู้หญิงนั้นมีคอร์ปัส คอลโลสสัม (Corpus Callosum) เป็นส่วนที่เส้นประสาทสมองมีการเชื่อมต่อกัน มีขนาดใหญ่กว่าผู้ชาย จึงใช้สมองทั้ง 2 ซีกประสานการทำงานได้ดี ทำให้ผู้หญิงจัดการความคิดของตัวเองได้รวดเร็วกว่า

6. ผู้หญิงจะมีสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ขนาดใหญ่กว่าผู้ชาย ทำให้ผู้หญิงจดจำเรื่องราวต่าง ๆ ได้มากกว่า และสามารถระลึกถึงเหตุการณ์เก่า ๆ ที่สะเทือนจิตใจได้ดีกว่าผู้ชาย

7. ในสภาวะปกติสมองผู้หญิงจะหลั่งเซโรโทนิน (Serotonin) เป็นสารที่ช่วยในการควบคุมอารมณ์ยับยั้งความก้าวร้าวมากกว่าผู้ชาย แต่เมื่อเกิดความเครียดสมองผู้หญิงจะหลั่งสารนี้ลดลง ทำให้ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ใจร้อน และวิตกกังวลง่าย

8. สมองของผู้หญิงขณะมีประจำเดือนจะเปลี่ยนแปลงทุก ๆ วัน และบางบริเวณของสมองอาจเปลี่ยนแปลงได้ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ในหนึ่งเดือน บางครั้งผู้หญิงที่มีความมั่นใจ มีความสุข และทำงานเก่ง ก็อาจเปลี่ยนเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้าย ในช่วงก่อนและระหว่างมีประจำเดือนได้

9. การที่ผู้หญิงใช้สมองทั้ง 2 ด้านไปพร้อมกันในการทำสิ่งต่าง ๆ ทำให้ผู้หญิงหลายคนมีปัญหาเรื่องมือขวา-มือซ้าย โดยพบว่าผู้หญิงราว 50% นึกไม่ออกว่ามือซ้าย หรือมือขวาถ้าไม่ได้เหลือบตาลงมอง

10. สมองผู้หญิงมีการรับรู้ เข้าใจ การแสดงออกทางสีหน้าท่าทาง จดจำหน้าคนได้ดี รับรู้อารมณ์แสดงออกทางเสียงได้ดี



11. ในสมองมีบริเวณหนึ่งที่เรียกว่า Anterior Cingulate Cortex ซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อการคาดการณ์ การตัดสินใจ การควบคุม และตอบสนองต่อความเครียด ซึ่งผู้หญิงจะมีขนาดของสมองส่วนนี้ใหญ่กว่าผู้ชาย อีกทั้งถูกกระตุ้นได้ง่ายกว่า ผู้หญิงจึงมักมีความกังวลต่อเรื่องต่าง ๆ ได้มากกว่า

12. จากการสแกนสมองพบว่า บริเวณที่เกี่ยวข้องกับสัญชาตญาณหรือลางสังหรณ์ ในสมองผู้หญิงนั้นมีขนาดใหญ่กว่าและตอบสนองไวกว่าในผู้ชาย คงจะช่วยยืนยันคำกล่าวที่ว่า "ผู้หญิงมีสัญชาตญาณและลางสังหรณ์ดีกว่าผู้ชาย" ได้เป็นอย่างดี

13. สมองผู้หญิงจะหดเล็กลงในช่วงตั้งครรภ์ แต่ไม่ได้สูญเสียเซลล์สมอง หากมีการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการเผาผลาญและเกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของสมองแทน

14. ช่วงรอยต่อก่อนเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน (2-9 ปีก่อนหมดประจำเดือน) อาจเป็นช่วงเวลาที่เปราะบางต่อการเกิดอารมณ์ปรวนแปรและหงุดหงิดง่าย เพราะสมองมีความไวของการตอบสนองต่อฮอร์โมนเอสโตรเจน และการรับรู้ความเครียดมากกว่าเดิม

15. เซลล์สมองของผู้หญิงจะตอบสนองต่อการสื่อสารการพูดมากกว่าผู้ชาย เพราะทำให้สมองหลั่งสารเคมีที่ทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้มแบบเดียวกับความรู้สึกของคนเสพเฮโรอีน

16. ผู้หญิงควรนอนหลับพักผ่อนมากกว่าผู้ชายเฉลี่ย 20 นาที เพื่อให้สมองฟื้นฟูและซ่อมแซมตัวเอง เนื่องจากผู้หญิงใช้สมองส่วนที่ควบคุมการทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน

17. ผู้หญิงมีความสามารถในการจับโกหกได้เก่ง ด้วยสมองของผู้หญิงจะวิเคราะห์การแสดงออกทางสีหน้า และภาษาท่าทางที่แสดงออกมากกว่าถ้อยคำที่พูดออกมา

18. ผู้หญิงมีประสิทธิภาพการได้ยินดีกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า เพราะเซลล์ประสาทสมองทั้ง 2 ข้างจะถูกกระตุ้นขณะฟัง จึงทำให้แยกประสาทการรับฟังการสนทนาได้ดีกว่าผู้ชาย

19. การจิบกาแฟทำให้สมองผู้หญิงกระปรี้กระเปร่าขึ้น เมื่อต้องทำงานร่วมกับผู้อื่น แต่กลับบั่นทอนความสามารถในการจดจำ และการตัดสินใจของผู้ชายช้าลง

ที่ว่าผู้หญิงเข้าใจยาก...ส่วนหนึ่งก็มาจากที่สมองของผู้หญิงและผู้ชายมีการทำงานที่ต่างกัน ทำให้เรื่องที่ผู้หญิงทำและคิดยากที่ผู้ชายจะเข้าใจเท่านั้นเองค่ะ



วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Detox ก่อน Diet

ล้างสารพิษก่อนไดเอ็ท



       จะลดน้ำหนักทั้งทีเรามา ล้างสารพิษที่อยู่ในท้องกันก่อนดีไหมค่ะ สารอาหารจะได้ดูดซึมง่าย แถมล้างพิษได้ไปในตัว และดารล้างพิษนี้สามารถทำให้เราลดน้ำหนักได้ง่ายขึ้นด้วยนะค่ะ ว่าแล้วมาเริ่มกันเลยดีกว่า

ตัวเลือกอาหารเช้าของคุณ

ออมเล็ต 2 ฟอง - ออมเล็ตทำมาจากเนยนิดหน่อย ราดนมลงไปสักครั้ง ใส่บีตรูต ผักโขม มะเขือเทศสีดา
ข้าว โอ๊ตต้มนาน - ไม่ใช่ข้าวโอ๊ตกึ่งสำเร็จรูปที่เติมน้ำร้อนแล้วกินได้เลย แต่เป็นข้าวโอ๊ตที่ผ่านการต้มข้ามคืนแล้วใส่แอปเปิ้ล ชินนามอน อัลมอนด์ดิบ และลูกเกดลงไปเพื่อเพิ่มความหวาน กับโยเกิร์ตกรีกก่อนกิน

Tip : ความเครียดสะสมอาจนำไปสู่ความเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย และทำให้เกิดความหิวปลอม ๆ ขึ้น เพราะมันกระตุ้นให้เราผลิตฮอร์โมนความเครียดอะดรีนาลีน การดื่มกาแฟหลังมื้อเช้าจะช่วยให้พลังงานค่อย ๆ ลดลงโดยไม่ตกลงมาวูบเดียว

ตัวเลือกอาหารกลางวันของคุณ

ไก่ งวง หรือเนื้อไก่ - วางเนื้อไก่ลงบนสลัดที่มีส่วนผสมดังต่อไปนี้ อะโวคาโด วอเตอร์เครส โรแมน หน่อไม้ฝรั่ง มะเขือเทศสีดา บีตรูต อาร์ติโชคย่าง หรือผักสดใด ๆ ก็ได้ที่คุณมี
สตูว์ใส่ถั่วแดงและผักใบเขียว - อย่าลืมใส่ขึ้นฉ่าย กระเทียม หัวหอม ผักโขมหรือคะน้า แครอต และเติมรสด้วยเครื่องกะหรี่ โรสแมรี่ ออริกาโน่ และน้ำสต๊อกผัก
แซลมอนกระป๋องหรือรมควัน - กินพร้อมสลัด และน้ำสลัดทำด้วยน้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้น น้ำส้มสายชูไวเนการ์แบบบีบเย็นสักเหยาะ และซอสฮอร์สราดิช

Tip : ใส่น้ำส้มสายชูไวเนการ์

ตัวเลือกอาหารเย็นของคุณ

เต็ก แซลมอน - ราดซอสเพสโตลงไปบนตัวปลา ห่อกระดาษฟอยล์แล้วนำไปย่าง 20 นาที เสิร์ฟพร้อมกับผักใบเขียวนึ่ง บร็อกโคลี่ กะหล่ำดอก พร้อมด้วย เกลือและเนย
แกงเขียวหวาน - อย่ากลัวกะทิที่ใส่ลงไป เพราะกะทิมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวโมเลกุลเดี่ยวที่จะช่วยลดการสะสมของไขมันหน้าท้อง

ตัวเลือกของหวานที่คุณกินได้

ถั่ว ไม่คั่วเกลือ กินถั่วคู่กับเชอร์รี่แห้ง หรือบลูเบอร์รี่แห้ง หรือแอปเปิ้ลกับลูกแพร์สด จะช่วยให้รสชาติหวานในขณะที่ให้ระดับน้ำตาลคงที่ และยังทำให้คุณไม่หิวระหว่างมื้ออีกด้วย

ขึ้นฉ่าย กับเนยถั่ว ช่วยผ่อนคลายระบบประสาท และสัมผัสครีม ๆ ของเนยถั่วจะให้ความพอใจจากไขมัน และแมกนีเซียมกับวิตามินบี 6 ถือเป็นของว่างก่อนนอนที่ดี



วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ล้างหน้าถูกวิธีทำหน้าใส

ล้างหน้าถูกวิธี = หน้าใส


       วิธีล้างหน้าและบำรุงผิวหน้าเป็นสิ่งที่ทุกคนมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชายที่คิดว่าเอาอะไรล้างก็ได้ ล้างแบบไหนได้ จะนวดจะถูแบบไหนก็ได้ เราอยากบอกว่าคุณคิดผิดค่ะ  การล้างหน้าที่ถูกวิธีนั้นนอกจากจะถูจะนวดให้ถูวิธีแล้ว เราต้องรู้จักเลือกผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับผิวหน้าด้วย

- หากเป็นคนผิวมันก็ควรเลือกใช้สบู่แบบออยล์คอนโทรล
- หากเป็นคนผิวแห้งก็ควรเลือกใช้สบู่ที่มีไขมันสูง (สบู่ที่มีส่วนผสมของน้ำมันมะกอก)

       และก่อนล้างหน้าด้วยสบู่คุณควรล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นก่อน เนื่องจากน้ำอุ่นจะช่วยเปิดรูขุมขน จากนั้นค่อยใช้สบู่ล้างหน้าอีกที ก่อนล้างออกด้วยน้ำธรรมดา แล้วก็ซับน้ำด้วยผ้าขนหนูเบาๆและใช้สำลีชุบโทนเนอร์เช็ดหน้าอีกครั้งเพื่อกระชับรูขุมขนบนใบหน้า แค่นี้ก็จะทำมห้คุณหน้าใสได้อย่างใจแล้ว

      * ในแต่ละวันไม่ควรล้างหน้าเกินสองครั้งเพราะจะไปกระตุ้นให้ผิวหน้าผลิตน้ำมันออกมากเกินและเป็นสาเหตุให้หน้ามันและเกิดสิวบนใบหน้า และถ้าเป็นคนผิวมันมากๆควรหมั่นใช้กระดาษซับมันแทนการล้างหน้าบ่อยครั้ง

ขอขอบคุณ lady.one.in.th

วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556

27วิธีทำผิวขาวใส

27 วิธีทำผิวขาวธรรมชาติ


       เชื่อว่าสาวๆหลายท่านเมื่อได้ยินวิธีทำผิวขาวล้วนหูผึ่งกันทั้งนั้น วันนี้เราเลยจะมาแนะนำวิธีทำให้ผิวคล้ำๆของคุณขาวใสอย่างเป็นธรรมชาติกันค่ะ ด้วย 27 วิธีง่ายๆดังนี้ค่ะ


1. วิธีขัดผิว (Exfoliating) หมายถึง การขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวหน้า
2. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการขัดผิว ได้แก่ ฟองน้ำขัดรูปแบบต่าง ๆ เช่น ใยบวบหรือครีม เช่น เอเอชเอ แม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถใช้ขัดผิวได้ การขัดผิวอย่างนุ่มนวลจะช่วยให้ผิวของคุณดูชุ่มชื่นและใสกระจ่าง
3. ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวด้วยวิธีรุนแรง และหากขัดมากเกินไปก็อาจรบกวนหน้าที่ในการสกัดกั้นสิ่งแปลกปลอมของผิว รวมถึงทำให้ผิวอ่อนไหวมากขึ้นจนเกิดความแห้งกร้าน ไหม้แดด หรือปัญหาอื่น ๆ ได้ง่าย
4. ถ้าไม่กำจัดออกไปผิวจะเกิดการอุดตันและหายใจไม่ได้ ผลก็คือผิวจะหม่นหมองดูแล้วมีความมันหรือบางทีอาจทำให้เกิดสิวอุดตัน รวมทั้งทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตใต้ผิวไม่ดีทำให้ของเสียเกิดการสะสมตัว
5. ถ้าต้องการขัดผิวหน้าก็ควรทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง และขัดผิวกายเดือนละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าใครมีเซลลูไลท์แนะนำให้ขัดผิวบริเวณส่วนนั้นทุกวัน
6. วิธีขัดผิวที่ถูกต้อง สิ่งที่ต้องมีคือ ฟองน้ำสำหรับขัดผิวกาย ถุงมือผ้า อาบน้ำหรือใยบวบและผลิตภัณฑ์ขัดผิว เลือกให้เหมาะกับสภาพผิว
7. เริ่มต้นที่ทำผิวเปียก นำผลิตภัณฑ์ขัดผิวเทใส่ใยบวบ ฟองน้ำ หรือถุงมือ แล้วทาลงบนผิวเบา ๆ นวดผลิตภัณฑ์บนผิวด้วยการวนมือเป็นลักษณะวงกลมเบา ๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นระบบไหลเวียนใช้น้ำล้างออกให้สะอาดซับให้แห้งแล้วทาครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นในขณะที่ผิวยังชื้น
8. ผลิตภัณฑ์สำหรับขัดผิวควรเลือกที่เป็นครีมหรือเจล เนื้อครีมควรมีลักษณะเป็นเม็ดกลมเพื่อปกป้องผิวจากการระคายเคือง หรือเป็นแผลถลอกขณะที่ขัดนวดผิวบริเวณนั้นควรมีความชื้นพอหมาดแล้วล้างออกด้วยน้ำมาก ๆ
9. ใยบวบ หรือใยขัดธรรมชาติเป็นอุปกรณ์ขัดผิวที่มีประสิทธิภาพมาก แต่ถ้าออกแรงขัดมากเกินไปอาจทำให้แสบผิวได้เพราะใยเหล่านี้มีลักษณะสากและหยาบ เวลาขัดจึงควรขัดเบา ๆ ไปทั่วร่างกายขณะอาบน้ำและเมื่อใช้เสร็จแล้วควรล้างทำความสะอาดและผึ่งให้แห้ง
10. การใช้ผ้าสำหรับถูตัว หรือฟองน้ำถูตัวเวลาอาบน้ำก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งของการขัดผิวโดยใช้ร่วมกับสบู่หรือเจลอาบน้ำก็ได้


11. เลียนแบบจากสปาชั้นนำ โดยการใส่น้ำให้เต็มอ่างเติมเกลือเม็ดลงไปและเวลาที่ลงไปแช่ตัวอยู่ในอ่างให้ใช้เกลือ 1 กำมือ ขัดไปมาเบา ๆ ให้ทั่วตัวและล้างตัวด้วยน้ำสะอาด
12. แปรงแปรงผิวสามารถใช้ได้ดี โดยขัดเบา ๆ บนผิวที่แห้งก่อนอาบน้ำ เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดไปหรือจะใช้ในขณะอาบน้ำร่วมกับสบู่หรือเจลอาบน้ำก็ได้
13. การปรนนิบัติผิวให้นุ่มนวลขึ้น ภายในระยะเวลาอันสั้นควรเริ่มด้วยการใช้น้ำมันนวดผิวก่อนอาบน้ำ จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนของการขัดผิว เพื่อช่วยปรนนิบัติผิวสะอาดหมดจด สวยเนียนสดใสไปอีกนาน ๆ
14. เราสามารถทำครีมขัดผิวใช้เอง โดยการใช้เกลือเม็ดเล็ก ๆ ผสมกับน้ำมันทาผิว (Baby Oil) หรือน้ำมันมะกอกทาทั่วตัวทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที นวดให้ทั่วแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
15. สครับสำเร็จรูปมักมีลักษณะคล้าย ๆ กัน คือมีบีด (bead) ซึ่งอาจทำจากเกลือ น้ำตาล อัลมอนด์ ฯลฯ ช่วยในการขัดผิว มีน้ำมันช่วยหล่อลื่นมีกลิ่นหอมอีกทั้งมีส่วนประกอบในการบำรุงผิวอีกหลายชนิด
16. เราสามารถทำสครับใช้เองง่าย ๆ ด้วย การใช้ผักผลไม้ชนิดที่มีคุณสมบัติครบถ้วนในตัวเดียว คือมีผิวสัมผัสที่ให้ความหยาบเล็กน้อยแต่ต้องไม่ถึงกับให้ผิวระคายเคืองมีน้ำช่วยหล่อลื่นและมีวิตามินตรงกับความต้องการ
17. มะขามเปียก สับปะรด มีเส้นใยช่วยขจัดขี้ไคลมีความเป็นกรดช่วยทำความสะอาดผิวทำให้ผิวขาวใสมีวิตามินซึ่งเป็นแอนติออกซิแดนท์สูง มะละกอมีเอนไซม์อ่อน ๆ ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้ววิตามินสูงแต่เนื้อมีความละเอียดมาก มะนาวเป็นกรดเหมาะใช้กับผิวส่วนที่หยาบกร้าน เช่น ข้อศอก ส้นเท้านุ่มขึ้น แตงกวาช่วยให้ผิวสดชื่น มะพร้าวขูดมีน้ำมันช่วยบำรุงผิว แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้งมากต้องระวังลองใช้ส้มเช้งมีคุณสมบัติ คล้ายสองชนิดแรกแต่ไม่เป็นกรดมาก
18. ถ้าคุณเลือกส่วนผสมหลักที่มีความพร้อมในตัวเดียว เช่น มะขามเปียกก็สามารถนำมาสครับได้เลย แต่ถ้าเลือกมะละกอก็ควรหาสิ่งที่เป็นบีดเพิ่มเข้าไปด้วย เพราะบีดช่วยเพิ่มความสากในสครับทำให้สามารถขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ง่ายขึ้น
19. เพื่อความปลอดภัยควรเลือกสิ่งที่อยู่ในครัวเรือนและมีโอกาสแพ้น้อยที่สุด เช่น เกลือมีฤทธิ์ช่วยสมานผิว ข้าวสารบดละเอียดช่วยให้ผิวขาว น้ำตาลทรายมีทั้งความสากและความหนืดอยู่ในตัวเอง งาเนื้อไม่หยาบเกินไป มีน้ำมันอยู่ในตัวช่วยลดความระคายเคืองและกาแฟกระตุ้นให้ร่างกายขับสารพิษ สิ่งที่ควรระวังคือบีดบางชนิดมีเหลี่ยมคมจึงต้องนำมาบดให้ละเอียดก่อนนอกจากนั้นอาจเพิ่มน้ำมันลงไปเพื่อช่วยลดการเสียดสี

20. ถ้าคุณมีผิวมัน ใช้มะขามเปียกหรือสับปะรดซึ่งมีความเป็นกรดช่วยขจัดความมันผสมกับเกลือมีฤทธิ์ช่วยสมานผิว เติมโยเกิร์ตช่วยบำรุงผิวก็ได้
21. ถ้าคุณมีผิวแห้ง ใช้ส้มเช้งเป็นส่วนผสมหลักปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นแว่นพอจับถนัดมือใส่งาขาวเป็นตัวช่วยขัด เพิ่มน้ำมันมะกอกเล็กน้อยลดความระคายเคือง
22. ถ้าคุณมีผิวแพ้ง่าย ใช้แค่งาขาว งาดำผสมน้ำผึ้งหรือโยเกิร์ตก็พอ
23. การใช้น้ำมัน จุดประสงค์สำคัญคือช่วยหล่อลื่นและเป็นตัวช่วยลดความเข้มข้นของกรดสำหรับคนผิวแห้งเช่น ถ้าคุณต้องการใช้สับปะรดขัดผิวแต่เกรงว่าผิวจะแห้งเกินไป การเพิ่มส่วนผสมน้ำมันก็เป็นทางเลือกที่ดีเพราะนอกจากช่วยให้ลื่นแล้วน้ำมันยังช่วยเคลือบผิวไม่ให้มีการสูญเสียน้ำมากเกินไป
24. การเพิ่มนม โยเกิร์ต น้ำผึ้ง หรืออื่น ๆ ที่ช่วยบำรุงผิวสามารถทำได้ แต่ต้องดูไม่ให้สครับข้นหรือเหลวเกินไปลักษณะของสครับที่ดีควรมีความหนืดเล็กน้อยจับตัวอยู่บนผิวได้และสะดวกแก่การขัด
25. ใครที่ชอบความหอมรื่นรมย์ สามารถเสริมกลิ่นด้วยการหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบลงไป 2-3 หยด ซึ่งต้องเป็นน้ำมันหอมระเหยสำหรับนวดตัว ซึ่งมักผสมที่ความเข้มข้นประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่สำหรับใส่เตาเผาน้ำมันเพราะน้ำมันหอมระเหยเข้มข้นจะทำให้ผิวไหม้
26. คนที่มีโรคเกี่ยวกับต่อมน้ำเหลือง เช่น ต่อมน้ำเหลืองอักเสบรุนแรง ต่อมน้ำเหลืองโต มีแผลเป็นหนอง หรือแม้แต่เป็นสิวอักเสบ ควรงดการสครับชั่วคราวจนกว่าจะหายเพราะการขัดเป็นการกระตุ้นให้อักเสบมากขึ้น
27. ถ้าจะสครับหน้าต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนที่สุด ขัดอย่างเบามือเพื่อกระตุ้นน้อย ๆ เน้นไปที่ร่องจมูกเลี่ยงจุดที่บอบบางมาก ๆ เช่น รอบดวงตา


วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ผิวขาวอมชมพู

ขัดผิวเพื่อผิวขาวอมชมพู



       หลังจากบทความที่แล้วเราได้นำเสนอเรื่องมาร์คหน้าให้ขาวอมชมพู วันนี้เราเลยนำเคล็ดไม่ลับมาทำให้ผิวกายขาวอมชมพูบางดีกว่าค่ะหรือจะใช้กับผิวหน้าก็ได้นะค่ะ 2 in 1 สูตรง่ายๆ หาวัตถุดิบง่ายๆ ว่าแล้วจะรีรออะไร เรามาเริ่มความสวยสุขภาพดีกันเลยดีกว่าค่ะ ^_^

1.ให้นำน้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ จมูกข้าวสาลี 2 ช้อนโต๊ะ และโยเกิร์ตเปล่า 1 ถ้วย นำมาคนให้เข้ากัน

2.จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้มาทาให้ทั่วตัว

3.จากนั้นใช้ปลายนิ้วแตะมาร์คมาขัดผิวเบาๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และเพื่อขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพออกไป

4.จากนั้นให้ล้างออก ให้สะอาดโดยโยเกิร์ตถือเป็นอาหารผิวที่ดีเยี่ยม และน้ำผึ้งยังช่วยเพิ่มความสวยงามให้กับผิวได้อย่างดี

**รับรองสูตรนี้ทำให้คุณผิวขาวอมชมพูได้ไม่ยากจ้า แถมยังเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้อีกด้วย

ช็อกโกแลตกินแล้วไม่อ้วน

ช็อกโกแลตดีต่อสุขภาพ


       งานวิจัยสำหรับคนที่ชอบทานช็อกโกแลตแต่ก็กลัวอ้วน ตอนนี้เค้าคิดช็อกโกแลตที่มีไขมันน้อยลงได้แล้ว

       ที่ University of Warwick เค้ามีงานวิจัยที่มีชื่อว่า “Healthier Fruit Juice Infused Chocolate Confectionary” ที่ศึกษาวิธีทำให้ช็อกโกแลตมีไขมันน้อยลงกว่าช็อกโกแลตทั่วๆไป นอกจากนี้ยังทำให้มันละลายจากสภาวะ“sugar bloom” ได้ยากขึ้นอีกด้วย (เมื่อช็อคโกแลตโดนน้ำหรือความชื้นก็จะทำให้น้ำตาลในช็อคโกแลตละลายออกไปผสมกับน้ำหรือความชื้น ทำให้สี,รูปร่างและรสชาติเปลี่ยนไป)

       สิ่งที่นักวิจัยทำก็คือการใช้น้ำผลไม้เป็นส่วนผสมแทนไขมันแบบเดิม Stefan Bon ผู้ทำงานวิจัยชิ้นนี้ กล่าวในแถลงการณ์ของทางมหาวิทยาลัยว่า “ไขมันนี่เองที่ทำให้คนติดใจทานช็อกโกแลต เมื่อเสริมด้วยรสชาติหวานละมุน ผิวสัมผัสที่ลื่นเนียนดุจแพรไหม ความสนุกเวลาที่หักแท่งช็อกโกแลตด้วยมือจึงทำให้คนชอบมันได้ไม่ยาก แต่ถ้าหากการใช้ส่วนผสมวิธีใหม่นี้ ได้ผลกับน้ำผลไม้หลายๆชนิดก็จะทำให้มันคงความอร่อยแบบเดิมไว้แต่มีไขมันที่น้อยลง


       หลายคนคงคิดว่าถ้าใช้การผสมแบบนี้จะทำให้ช็อกโกแลตนม, ไวท์ช็อกโกแลตหรือดาร์กช็อกโกแลตที่มีรสชาติของผลไม้อยู่สิ ไม่ต้องห่วงค่ะเค้าคิดวิธีแก้ให้แล้ว ด้วยการใส่สารละลายวิตามิน C (หรือกรดแอสคอร์บิก) เป็นส่วนผสมแทนน้ำผลไม้ก็ได้ ก็จะได้รสชาติของช็อกโกแลตล้วนๆ

       นั่นหมายความว่าเค้าใช้กระบวนการทางเคมีในการสร้างช็อกโกแลตที่ปราศจากไขมันโดยใช้น้ำผลไม้มาแทน ยิ่งถ้าผู้ผลิตนำไปต่อยอดให้มีรสชาติอร่อยขึ้น ไขมันและน้ำตาลน้อยลง อีกหน่อยเราก็จะมีช็อกโกแลตที่ดีต่อสุขภาพยิ่งขึ้นค่ะ

ขอขอบคุณ  http://www.dailygizmo.tv/

วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ผิวขาวด้วยสมุนไพรไทย

บำรุงผิวให้ขาวด้วยสมุนไพร


       สาวๆๆสมัยนี้ใครๆก็อยากขาว วันนี้เราเลยนำเคล็ดไม่ลับมาแอบบอกค่ะ ง่ายๆแค่ใช้สมุนไพรไทยนี่แหละค่ะ หาง่าย ถูก และอยู่คู่กับเรามานานอีกอย่างง สมุนไพรเหล่านี้สารพัดประโยชน์จริงๆค่ะว่าแล้วเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า ^^

1.สมุนไพรไทยชนิดที่หนึ่ง “ว่านหางจระเข้” สามารถช่วยให้ผิวขาวผุดผ่อง ดูสดชื่น มีน้ำมีนวล ขจัดสิว ลบรอยจุดด่างดำ ถ้าใช้กับคนผิวมันก็จะช่วยลดความมันลง และถ้าใช้กับคนผิวแห้งก็จะช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น โดยใช้น้ำที่ได้จากวุ้นสีขาวของว่านหางจระเข้ทาตรงบริเวณผิวของเรา (ควรลองใช้น้อยๆก่อนเผื่อในรายที่มีอาการแพ้)

2.สมุนไพรไทยชนิดที่สอง “งา” ช่วยประทินผิวให้ให้นุ่มนวลไม่หยาบกร้าน ผิวพรรณขาดผุดผ่อง โดยให้นำเอาเมล็ดงาสด มาบีบน้ำมันงาออกโดยไม่ผ่านความร้อน และนำน้ำมันที่ได้มาทาผิวกาย

3.สมุนไพรไทยชนิดที่สาม “แตงกวา” แตงกวาจะจะมีวิตามินสูงมาก มีสรรพคุณช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ช่วยสมานผิว อีกทั้งยังมีเอนไซม์ cryssin ซึ่งจะช่วยขจัดผิวหนังที่หยาบกร้านให้หลุดลอกออกไป เพื่อให้ผิวใหม่ที่อ่อนนุ่มเกิดขึ้นมาแทนที่ โดยให้ใช้ผลแตงกวาสดฝานเป็นชิ้นบางๆ วางบนใบหน้าที่ล้างสะอาดแล้ว

ที่มา สถาบันการแพทย์แผนไทย