Advertisement

วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ปัดแป้งให้หน้าใส

เทคนิคปัดแปรงให้หน้าเนียนใส

        หน้าคนเราเดี๋ยวนี้จะใสกริ๊กได้นั่น นอกจากจะมาจากพื้นเพของผิวหน้าแล้ว สมัยนี้มีนวัตกรรมใหม่ สำหรับคนที่ผิวหน้ายังไม่ใสแต่อยากใส นั่นคือ บีบี กับแป้งที่ใช้ วันนี้เราเลยจะมาแนะนำทริคเด็ดๆปัดแป้งแบบโปรๆกันดีกว่าค่ะ

ชนิดของแป้ง

แป้งฝุ่น
แป้งทาหน้าชนิดฝุ่นบางเบา ปกปิดเล็กน้อย เหมาะกับคนผิวแห้งที่ต้องการความขาววิ้งกำลังดี

แป้งอัดแข็ง
เรียกอีกอย่างว่าแป้ง เพรส ใช้สะดวก พกพาง่าย ปกปิดได้ดี เหมาะสำหรับคนผิวมัน

อุปกรณ์พื้นฐาน

แปรงปัดแป้ง
ใช้ได้กับทั้งแป้งฝุ่น และแป้งอัดแข็ง ช่วยให้ทาแป้งได้บางเบา ไม่หนาจนเกินไป เหมาะกับการแต่งหน้าแบบวาวฉ่ำ ปล. ควรเลือกแปรงที่ทำจากขนสัตว์ เพราะจะช่วยลดการระคายเคืองของผิวหน้า

ฟองน้ำ
ใช้ทาผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเป็นเนื้อครีมข้น และเคลือบผิวเป็นหลัก รวมถึงใช้ทาแป้งอัดแข็ง ช่วยให้เครื่องสำอางติดทน และปกปิดได้ดี เหมาะสำหรับคนผิวมัน

พัฟฟ์
เหมาะกับการทาแป้งฝุ่น โดยแตะเนื้อแป้ง พับครึ่ง แล้วถูกแป้งให้กระจายทั่วพัฟฟ์ ก่อนตบเกลี่ยเบาๆ ลงบนผิวหน้า ปล. ผิวของพัฟฟ์ที่ดีต้องเก็บเนื้อแป้งได้ดี เพราะจะช่วยให้ทาเกลี่ยได้ง่าย

แปรงรูปพัด
ใช้ปัดแป้งส่วนเกินออกจากหน้า โดยแปรงที่ดีต้องมีขนแปรงยืดหยุ่น



การทาแป้งกับสภาพผิวแบบต่างๆ

ผิวธรรมดา
ทาแป้งแบบบางเบา ปกปิดเล็กน้อย แป้งฝุ่น + พัฟฟ์

วิธีการใช้
ใช้พัฟฟ์ปิดปากกระปุก แต่ไม่ต้องกดจนแน่น (เพราะการกดแน่นจะทำให้เนื้อแป้งไม่ติดพัฟฟ์) คว่ำกระปุกลง เขย่าสองสามครั้ง จะเห็นว่าเนื้อแป้งติดพัฟฟ์มาในปริมาณที่พอดี จากนั้นพับครึ่งพัฟฟ์ถูเข้าด้วยกัน จึงแตะพับลงบนใบหน้า ตบเบาๆ จากแก้ม หน้าผาก  จมูก  คาง ตามลำดับ ส่วนบริเวณเล็กๆ เช่น รอบดวงตา บริเวณจมูก พับครึ่งพัฟฟ์ แล้วใช้มุมของพัฟฟ์แตะเบาๆ เทคนิคนี้จะช่วยให้ใบหน้าเรียบเนียน สม่ำเสมอ และเมคอัพติดทนค่ะ

ผิวแห้ง
ทาแป้งแบบบางเบา ชุ่มชื้น และเสริมให้เครื่องสำอางติดทนนานขึ้น  แป้งฝุ่น + แปรงปัดแป้ง

วิธีการใช้
ปิดฝากระปุกไว้ เอียงกระปุก แล้วใช้นิ้วเคาะกระปุกแป้ง เปิดฝาออกอย่างระมัดระวัง ใช้แปรงแตะแป้งให้ทั่วแปรง เคาะแปรงที่หลังมือเบาๆ เพื่อให้แป้งส่วนเกินหลุดออก จากนั้นปัดแปรงเบาๆ จากแก้ม  หน้าผาก  จมูก คาง ตา ตามลำดับ เมื่อปัดจนทั่วแล้ว ให้ตั้งหัวแปรงขึ้น ปัดบริเวณจมูกและตา ปัดซ้ำที่เปลือกตาอีกครั้ง เทคนิคนี้จะทำให้หน้าคุณเนียนแห้งสบาย ดูมันวาวเล็กน้อย

ผิวผสม
ต้องการการปกปิด และความชุ่มชื้นแป้งอัดแข็ง + แปรงปัดแป้ง

วิธีการใช้
ปัดแป้งอัดแข็งให้ติดแปรงในปริมาณที่พอเหมาะ ถ้าอยากให้หน้าดูชุ่มชื้นให้ตั้งแปรงให้ตรง แล้วใช้เฉพาะปลายแปรงปัดแป้ง เสร็จแล้วใช้นิ้วเคาะแปรงเบาๆ เพื่อให้แป้งส่วนเกินหลุดออก เริ่มปัดแป้งจากบริเวณกว้างของหน้าออกไปทางด้านข้าง จากนั้น ตั้งแปรงขึ้นแล้วปัดเบาๆ บริเวณรอบดวงตาและจมูก ผิวหน้าจะดูมันวาวน้อยกว่าการทาแป้งฝุ่นด้วยแปรง แต่ปกปิดได้ดีกว่าเป็นเท่าตัว

ผิวมัน
ต้องการการปกปิด และดูแมตต์  แป้งอัดแข็ง + ฟองน้ำ

วิธีการใช้
พัฟฟ์ทำให้ผิวหน้าดูแห้ง และเนียนลื่น ส่วนฟองน้ำช่วยให้เครื่องสำอางติดทนนานและดูดซับความมันส่วนเกิน ต้องการให้ผิวหน้าเป็นแบบไหนก็เลือกใช้ตามใจชอบค่ะ มาถึงการทาแป้งสำหรับสาวผิวมัน ให้ใข้ฟองน้ำแตะแป้งแล้วพับครึ่งเพื่อให้เนื้อแป้งกระจายทั่ว จากนั้นตกเกลี่ยแป้งทั่วใบหน้า เวลาทาใช้ฟองน้ำกดเบาๆ บนผิวหน้า รวมถึงบริเวณจมูก และตา จะช่วยให้เครื่องสำอางติดทนและดูดซับความมันส่วนเกิน หลังจากนั้น ใช้แปรงรูปพัดปัดแป้งส่วนเกินออก โดยใช้ปลายแปรงปัดเบาๆ

สมองของผู้หญิง

19 สิ่งน่ารู้เกี่ยวกับสมองของผู้หญิง




       สมองของคนเราเป็นสิ่งอัศจรรย์มาก เป็นอวัยวะที่ซับซ้อนมาก แต่คุณรู้หรือไม่ว่า สมองของคนเรานั้นผู้หญิงกับผู้ชายล้วนทำงานแตกต่างกัน และสิ่งนี้เองจึงเป็นที่มาว่าทำไมผู้หญิงเข้าใจยากจัง ดังนั้นวันนี้เรามาทำความรู้จักกับสมองของผู้หญิงดีกว่าค่ะ

1. ขนาดของสมองส่วนหน้า (Frontal Lobe) และสมองส่วนอารมณ์ (Temporal Lobe) ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาและการตอบสนองทางอารมณ์ของผู้หญิงใหญ่กว่าผู้ชาย จึงทำให้ผู้หญิงแก้ปัญหาต่าง ๆ และมีทักษะในการใช้ภาษาและอารมณ์ได้ดีกว่า

2. สมองของผู้หญิงมีการเชื่อมต่อระหว่างสมองสองซีกอยู่เกือบตลอดเวลา ทำให้ผู้หญิงถนัดนักเรื่องการทำหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน

3. สมองส่วนลิมบิก (Limbic Brain) ของผู้หญิงจะมีหยักลึกใหญ่ ส่งผลให้ผู้หญิงมีความรู้สึกที่ละเอียดจับอารมณ์และความรู้สึกได้เร็วกว่า แสดงอารมณ์ได้ละเอียดลออ จึงมีความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์หรือประสานความสัมพันธ์ได้ดีกว่า

4. ผู้หญิงจะใช้สมองทั้งสองซีกในเรื่องการสื่อสารและภาษา ดังนั้น ถ้าสมองซีกซ้ายที่ปกติเป็นส่วนที่ดูแลเรื่องภาษาถูกทำลาย ผู้หญิงก็ยังจะสามารถใช้สมองซีกขวาในการสื่อสารได้

5. ผู้หญิงนั้นมีคอร์ปัส คอลโลสสัม (Corpus Callosum) เป็นส่วนที่เส้นประสาทสมองมีการเชื่อมต่อกัน มีขนาดใหญ่กว่าผู้ชาย จึงใช้สมองทั้ง 2 ซีกประสานการทำงานได้ดี ทำให้ผู้หญิงจัดการความคิดของตัวเองได้รวดเร็วกว่า

6. ผู้หญิงจะมีสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ขนาดใหญ่กว่าผู้ชาย ทำให้ผู้หญิงจดจำเรื่องราวต่าง ๆ ได้มากกว่า และสามารถระลึกถึงเหตุการณ์เก่า ๆ ที่สะเทือนจิตใจได้ดีกว่าผู้ชาย

7. ในสภาวะปกติสมองผู้หญิงจะหลั่งเซโรโทนิน (Serotonin) เป็นสารที่ช่วยในการควบคุมอารมณ์ยับยั้งความก้าวร้าวมากกว่าผู้ชาย แต่เมื่อเกิดความเครียดสมองผู้หญิงจะหลั่งสารนี้ลดลง ทำให้ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ใจร้อน และวิตกกังวลง่าย

8. สมองของผู้หญิงขณะมีประจำเดือนจะเปลี่ยนแปลงทุก ๆ วัน และบางบริเวณของสมองอาจเปลี่ยนแปลงได้ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ในหนึ่งเดือน บางครั้งผู้หญิงที่มีความมั่นใจ มีความสุข และทำงานเก่ง ก็อาจเปลี่ยนเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้าย ในช่วงก่อนและระหว่างมีประจำเดือนได้

9. การที่ผู้หญิงใช้สมองทั้ง 2 ด้านไปพร้อมกันในการทำสิ่งต่าง ๆ ทำให้ผู้หญิงหลายคนมีปัญหาเรื่องมือขวา-มือซ้าย โดยพบว่าผู้หญิงราว 50% นึกไม่ออกว่ามือซ้าย หรือมือขวาถ้าไม่ได้เหลือบตาลงมอง

10. สมองผู้หญิงมีการรับรู้ เข้าใจ การแสดงออกทางสีหน้าท่าทาง จดจำหน้าคนได้ดี รับรู้อารมณ์แสดงออกทางเสียงได้ดี



11. ในสมองมีบริเวณหนึ่งที่เรียกว่า Anterior Cingulate Cortex ซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อการคาดการณ์ การตัดสินใจ การควบคุม และตอบสนองต่อความเครียด ซึ่งผู้หญิงจะมีขนาดของสมองส่วนนี้ใหญ่กว่าผู้ชาย อีกทั้งถูกกระตุ้นได้ง่ายกว่า ผู้หญิงจึงมักมีความกังวลต่อเรื่องต่าง ๆ ได้มากกว่า

12. จากการสแกนสมองพบว่า บริเวณที่เกี่ยวข้องกับสัญชาตญาณหรือลางสังหรณ์ ในสมองผู้หญิงนั้นมีขนาดใหญ่กว่าและตอบสนองไวกว่าในผู้ชาย คงจะช่วยยืนยันคำกล่าวที่ว่า "ผู้หญิงมีสัญชาตญาณและลางสังหรณ์ดีกว่าผู้ชาย" ได้เป็นอย่างดี

13. สมองผู้หญิงจะหดเล็กลงในช่วงตั้งครรภ์ แต่ไม่ได้สูญเสียเซลล์สมอง หากมีการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการเผาผลาญและเกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของสมองแทน

14. ช่วงรอยต่อก่อนเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน (2-9 ปีก่อนหมดประจำเดือน) อาจเป็นช่วงเวลาที่เปราะบางต่อการเกิดอารมณ์ปรวนแปรและหงุดหงิดง่าย เพราะสมองมีความไวของการตอบสนองต่อฮอร์โมนเอสโตรเจน และการรับรู้ความเครียดมากกว่าเดิม

15. เซลล์สมองของผู้หญิงจะตอบสนองต่อการสื่อสารการพูดมากกว่าผู้ชาย เพราะทำให้สมองหลั่งสารเคมีที่ทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้มแบบเดียวกับความรู้สึกของคนเสพเฮโรอีน

16. ผู้หญิงควรนอนหลับพักผ่อนมากกว่าผู้ชายเฉลี่ย 20 นาที เพื่อให้สมองฟื้นฟูและซ่อมแซมตัวเอง เนื่องจากผู้หญิงใช้สมองส่วนที่ควบคุมการทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน

17. ผู้หญิงมีความสามารถในการจับโกหกได้เก่ง ด้วยสมองของผู้หญิงจะวิเคราะห์การแสดงออกทางสีหน้า และภาษาท่าทางที่แสดงออกมากกว่าถ้อยคำที่พูดออกมา

18. ผู้หญิงมีประสิทธิภาพการได้ยินดีกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า เพราะเซลล์ประสาทสมองทั้ง 2 ข้างจะถูกกระตุ้นขณะฟัง จึงทำให้แยกประสาทการรับฟังการสนทนาได้ดีกว่าผู้ชาย

19. การจิบกาแฟทำให้สมองผู้หญิงกระปรี้กระเปร่าขึ้น เมื่อต้องทำงานร่วมกับผู้อื่น แต่กลับบั่นทอนความสามารถในการจดจำ และการตัดสินใจของผู้ชายช้าลง

ที่ว่าผู้หญิงเข้าใจยาก...ส่วนหนึ่งก็มาจากที่สมองของผู้หญิงและผู้ชายมีการทำงานที่ต่างกัน ทำให้เรื่องที่ผู้หญิงทำและคิดยากที่ผู้ชายจะเข้าใจเท่านั้นเองค่ะ



วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Detox ก่อน Diet

ล้างสารพิษก่อนไดเอ็ท



       จะลดน้ำหนักทั้งทีเรามา ล้างสารพิษที่อยู่ในท้องกันก่อนดีไหมค่ะ สารอาหารจะได้ดูดซึมง่าย แถมล้างพิษได้ไปในตัว และดารล้างพิษนี้สามารถทำให้เราลดน้ำหนักได้ง่ายขึ้นด้วยนะค่ะ ว่าแล้วมาเริ่มกันเลยดีกว่า

ตัวเลือกอาหารเช้าของคุณ

ออมเล็ต 2 ฟอง - ออมเล็ตทำมาจากเนยนิดหน่อย ราดนมลงไปสักครั้ง ใส่บีตรูต ผักโขม มะเขือเทศสีดา
ข้าว โอ๊ตต้มนาน - ไม่ใช่ข้าวโอ๊ตกึ่งสำเร็จรูปที่เติมน้ำร้อนแล้วกินได้เลย แต่เป็นข้าวโอ๊ตที่ผ่านการต้มข้ามคืนแล้วใส่แอปเปิ้ล ชินนามอน อัลมอนด์ดิบ และลูกเกดลงไปเพื่อเพิ่มความหวาน กับโยเกิร์ตกรีกก่อนกิน

Tip : ความเครียดสะสมอาจนำไปสู่ความเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย และทำให้เกิดความหิวปลอม ๆ ขึ้น เพราะมันกระตุ้นให้เราผลิตฮอร์โมนความเครียดอะดรีนาลีน การดื่มกาแฟหลังมื้อเช้าจะช่วยให้พลังงานค่อย ๆ ลดลงโดยไม่ตกลงมาวูบเดียว

ตัวเลือกอาหารกลางวันของคุณ

ไก่ งวง หรือเนื้อไก่ - วางเนื้อไก่ลงบนสลัดที่มีส่วนผสมดังต่อไปนี้ อะโวคาโด วอเตอร์เครส โรแมน หน่อไม้ฝรั่ง มะเขือเทศสีดา บีตรูต อาร์ติโชคย่าง หรือผักสดใด ๆ ก็ได้ที่คุณมี
สตูว์ใส่ถั่วแดงและผักใบเขียว - อย่าลืมใส่ขึ้นฉ่าย กระเทียม หัวหอม ผักโขมหรือคะน้า แครอต และเติมรสด้วยเครื่องกะหรี่ โรสแมรี่ ออริกาโน่ และน้ำสต๊อกผัก
แซลมอนกระป๋องหรือรมควัน - กินพร้อมสลัด และน้ำสลัดทำด้วยน้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้น น้ำส้มสายชูไวเนการ์แบบบีบเย็นสักเหยาะ และซอสฮอร์สราดิช

Tip : ใส่น้ำส้มสายชูไวเนการ์

ตัวเลือกอาหารเย็นของคุณ

เต็ก แซลมอน - ราดซอสเพสโตลงไปบนตัวปลา ห่อกระดาษฟอยล์แล้วนำไปย่าง 20 นาที เสิร์ฟพร้อมกับผักใบเขียวนึ่ง บร็อกโคลี่ กะหล่ำดอก พร้อมด้วย เกลือและเนย
แกงเขียวหวาน - อย่ากลัวกะทิที่ใส่ลงไป เพราะกะทิมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวโมเลกุลเดี่ยวที่จะช่วยลดการสะสมของไขมันหน้าท้อง

ตัวเลือกของหวานที่คุณกินได้

ถั่ว ไม่คั่วเกลือ กินถั่วคู่กับเชอร์รี่แห้ง หรือบลูเบอร์รี่แห้ง หรือแอปเปิ้ลกับลูกแพร์สด จะช่วยให้รสชาติหวานในขณะที่ให้ระดับน้ำตาลคงที่ และยังทำให้คุณไม่หิวระหว่างมื้ออีกด้วย

ขึ้นฉ่าย กับเนยถั่ว ช่วยผ่อนคลายระบบประสาท และสัมผัสครีม ๆ ของเนยถั่วจะให้ความพอใจจากไขมัน และแมกนีเซียมกับวิตามินบี 6 ถือเป็นของว่างก่อนนอนที่ดี



วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ล้างหน้าถูกวิธีทำหน้าใส

ล้างหน้าถูกวิธี = หน้าใส


       วิธีล้างหน้าและบำรุงผิวหน้าเป็นสิ่งที่ทุกคนมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชายที่คิดว่าเอาอะไรล้างก็ได้ ล้างแบบไหนได้ จะนวดจะถูแบบไหนก็ได้ เราอยากบอกว่าคุณคิดผิดค่ะ  การล้างหน้าที่ถูกวิธีนั้นนอกจากจะถูจะนวดให้ถูวิธีแล้ว เราต้องรู้จักเลือกผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับผิวหน้าด้วย

- หากเป็นคนผิวมันก็ควรเลือกใช้สบู่แบบออยล์คอนโทรล
- หากเป็นคนผิวแห้งก็ควรเลือกใช้สบู่ที่มีไขมันสูง (สบู่ที่มีส่วนผสมของน้ำมันมะกอก)

       และก่อนล้างหน้าด้วยสบู่คุณควรล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นก่อน เนื่องจากน้ำอุ่นจะช่วยเปิดรูขุมขน จากนั้นค่อยใช้สบู่ล้างหน้าอีกที ก่อนล้างออกด้วยน้ำธรรมดา แล้วก็ซับน้ำด้วยผ้าขนหนูเบาๆและใช้สำลีชุบโทนเนอร์เช็ดหน้าอีกครั้งเพื่อกระชับรูขุมขนบนใบหน้า แค่นี้ก็จะทำมห้คุณหน้าใสได้อย่างใจแล้ว

      * ในแต่ละวันไม่ควรล้างหน้าเกินสองครั้งเพราะจะไปกระตุ้นให้ผิวหน้าผลิตน้ำมันออกมากเกินและเป็นสาเหตุให้หน้ามันและเกิดสิวบนใบหน้า และถ้าเป็นคนผิวมันมากๆควรหมั่นใช้กระดาษซับมันแทนการล้างหน้าบ่อยครั้ง

ขอขอบคุณ lady.one.in.th

วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556

27วิธีทำผิวขาวใส

27 วิธีทำผิวขาวธรรมชาติ


       เชื่อว่าสาวๆหลายท่านเมื่อได้ยินวิธีทำผิวขาวล้วนหูผึ่งกันทั้งนั้น วันนี้เราเลยจะมาแนะนำวิธีทำให้ผิวคล้ำๆของคุณขาวใสอย่างเป็นธรรมชาติกันค่ะ ด้วย 27 วิธีง่ายๆดังนี้ค่ะ


1. วิธีขัดผิว (Exfoliating) หมายถึง การขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวหน้า
2. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการขัดผิว ได้แก่ ฟองน้ำขัดรูปแบบต่าง ๆ เช่น ใยบวบหรือครีม เช่น เอเอชเอ แม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถใช้ขัดผิวได้ การขัดผิวอย่างนุ่มนวลจะช่วยให้ผิวของคุณดูชุ่มชื่นและใสกระจ่าง
3. ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวด้วยวิธีรุนแรง และหากขัดมากเกินไปก็อาจรบกวนหน้าที่ในการสกัดกั้นสิ่งแปลกปลอมของผิว รวมถึงทำให้ผิวอ่อนไหวมากขึ้นจนเกิดความแห้งกร้าน ไหม้แดด หรือปัญหาอื่น ๆ ได้ง่าย
4. ถ้าไม่กำจัดออกไปผิวจะเกิดการอุดตันและหายใจไม่ได้ ผลก็คือผิวจะหม่นหมองดูแล้วมีความมันหรือบางทีอาจทำให้เกิดสิวอุดตัน รวมทั้งทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตใต้ผิวไม่ดีทำให้ของเสียเกิดการสะสมตัว
5. ถ้าต้องการขัดผิวหน้าก็ควรทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง และขัดผิวกายเดือนละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าใครมีเซลลูไลท์แนะนำให้ขัดผิวบริเวณส่วนนั้นทุกวัน
6. วิธีขัดผิวที่ถูกต้อง สิ่งที่ต้องมีคือ ฟองน้ำสำหรับขัดผิวกาย ถุงมือผ้า อาบน้ำหรือใยบวบและผลิตภัณฑ์ขัดผิว เลือกให้เหมาะกับสภาพผิว
7. เริ่มต้นที่ทำผิวเปียก นำผลิตภัณฑ์ขัดผิวเทใส่ใยบวบ ฟองน้ำ หรือถุงมือ แล้วทาลงบนผิวเบา ๆ นวดผลิตภัณฑ์บนผิวด้วยการวนมือเป็นลักษณะวงกลมเบา ๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นระบบไหลเวียนใช้น้ำล้างออกให้สะอาดซับให้แห้งแล้วทาครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นในขณะที่ผิวยังชื้น
8. ผลิตภัณฑ์สำหรับขัดผิวควรเลือกที่เป็นครีมหรือเจล เนื้อครีมควรมีลักษณะเป็นเม็ดกลมเพื่อปกป้องผิวจากการระคายเคือง หรือเป็นแผลถลอกขณะที่ขัดนวดผิวบริเวณนั้นควรมีความชื้นพอหมาดแล้วล้างออกด้วยน้ำมาก ๆ
9. ใยบวบ หรือใยขัดธรรมชาติเป็นอุปกรณ์ขัดผิวที่มีประสิทธิภาพมาก แต่ถ้าออกแรงขัดมากเกินไปอาจทำให้แสบผิวได้เพราะใยเหล่านี้มีลักษณะสากและหยาบ เวลาขัดจึงควรขัดเบา ๆ ไปทั่วร่างกายขณะอาบน้ำและเมื่อใช้เสร็จแล้วควรล้างทำความสะอาดและผึ่งให้แห้ง
10. การใช้ผ้าสำหรับถูตัว หรือฟองน้ำถูตัวเวลาอาบน้ำก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งของการขัดผิวโดยใช้ร่วมกับสบู่หรือเจลอาบน้ำก็ได้


11. เลียนแบบจากสปาชั้นนำ โดยการใส่น้ำให้เต็มอ่างเติมเกลือเม็ดลงไปและเวลาที่ลงไปแช่ตัวอยู่ในอ่างให้ใช้เกลือ 1 กำมือ ขัดไปมาเบา ๆ ให้ทั่วตัวและล้างตัวด้วยน้ำสะอาด
12. แปรงแปรงผิวสามารถใช้ได้ดี โดยขัดเบา ๆ บนผิวที่แห้งก่อนอาบน้ำ เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดไปหรือจะใช้ในขณะอาบน้ำร่วมกับสบู่หรือเจลอาบน้ำก็ได้
13. การปรนนิบัติผิวให้นุ่มนวลขึ้น ภายในระยะเวลาอันสั้นควรเริ่มด้วยการใช้น้ำมันนวดผิวก่อนอาบน้ำ จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนของการขัดผิว เพื่อช่วยปรนนิบัติผิวสะอาดหมดจด สวยเนียนสดใสไปอีกนาน ๆ
14. เราสามารถทำครีมขัดผิวใช้เอง โดยการใช้เกลือเม็ดเล็ก ๆ ผสมกับน้ำมันทาผิว (Baby Oil) หรือน้ำมันมะกอกทาทั่วตัวทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที นวดให้ทั่วแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
15. สครับสำเร็จรูปมักมีลักษณะคล้าย ๆ กัน คือมีบีด (bead) ซึ่งอาจทำจากเกลือ น้ำตาล อัลมอนด์ ฯลฯ ช่วยในการขัดผิว มีน้ำมันช่วยหล่อลื่นมีกลิ่นหอมอีกทั้งมีส่วนประกอบในการบำรุงผิวอีกหลายชนิด
16. เราสามารถทำสครับใช้เองง่าย ๆ ด้วย การใช้ผักผลไม้ชนิดที่มีคุณสมบัติครบถ้วนในตัวเดียว คือมีผิวสัมผัสที่ให้ความหยาบเล็กน้อยแต่ต้องไม่ถึงกับให้ผิวระคายเคืองมีน้ำช่วยหล่อลื่นและมีวิตามินตรงกับความต้องการ
17. มะขามเปียก สับปะรด มีเส้นใยช่วยขจัดขี้ไคลมีความเป็นกรดช่วยทำความสะอาดผิวทำให้ผิวขาวใสมีวิตามินซึ่งเป็นแอนติออกซิแดนท์สูง มะละกอมีเอนไซม์อ่อน ๆ ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้ววิตามินสูงแต่เนื้อมีความละเอียดมาก มะนาวเป็นกรดเหมาะใช้กับผิวส่วนที่หยาบกร้าน เช่น ข้อศอก ส้นเท้านุ่มขึ้น แตงกวาช่วยให้ผิวสดชื่น มะพร้าวขูดมีน้ำมันช่วยบำรุงผิว แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้งมากต้องระวังลองใช้ส้มเช้งมีคุณสมบัติ คล้ายสองชนิดแรกแต่ไม่เป็นกรดมาก
18. ถ้าคุณเลือกส่วนผสมหลักที่มีความพร้อมในตัวเดียว เช่น มะขามเปียกก็สามารถนำมาสครับได้เลย แต่ถ้าเลือกมะละกอก็ควรหาสิ่งที่เป็นบีดเพิ่มเข้าไปด้วย เพราะบีดช่วยเพิ่มความสากในสครับทำให้สามารถขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ง่ายขึ้น
19. เพื่อความปลอดภัยควรเลือกสิ่งที่อยู่ในครัวเรือนและมีโอกาสแพ้น้อยที่สุด เช่น เกลือมีฤทธิ์ช่วยสมานผิว ข้าวสารบดละเอียดช่วยให้ผิวขาว น้ำตาลทรายมีทั้งความสากและความหนืดอยู่ในตัวเอง งาเนื้อไม่หยาบเกินไป มีน้ำมันอยู่ในตัวช่วยลดความระคายเคืองและกาแฟกระตุ้นให้ร่างกายขับสารพิษ สิ่งที่ควรระวังคือบีดบางชนิดมีเหลี่ยมคมจึงต้องนำมาบดให้ละเอียดก่อนนอกจากนั้นอาจเพิ่มน้ำมันลงไปเพื่อช่วยลดการเสียดสี

20. ถ้าคุณมีผิวมัน ใช้มะขามเปียกหรือสับปะรดซึ่งมีความเป็นกรดช่วยขจัดความมันผสมกับเกลือมีฤทธิ์ช่วยสมานผิว เติมโยเกิร์ตช่วยบำรุงผิวก็ได้
21. ถ้าคุณมีผิวแห้ง ใช้ส้มเช้งเป็นส่วนผสมหลักปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นแว่นพอจับถนัดมือใส่งาขาวเป็นตัวช่วยขัด เพิ่มน้ำมันมะกอกเล็กน้อยลดความระคายเคือง
22. ถ้าคุณมีผิวแพ้ง่าย ใช้แค่งาขาว งาดำผสมน้ำผึ้งหรือโยเกิร์ตก็พอ
23. การใช้น้ำมัน จุดประสงค์สำคัญคือช่วยหล่อลื่นและเป็นตัวช่วยลดความเข้มข้นของกรดสำหรับคนผิวแห้งเช่น ถ้าคุณต้องการใช้สับปะรดขัดผิวแต่เกรงว่าผิวจะแห้งเกินไป การเพิ่มส่วนผสมน้ำมันก็เป็นทางเลือกที่ดีเพราะนอกจากช่วยให้ลื่นแล้วน้ำมันยังช่วยเคลือบผิวไม่ให้มีการสูญเสียน้ำมากเกินไป
24. การเพิ่มนม โยเกิร์ต น้ำผึ้ง หรืออื่น ๆ ที่ช่วยบำรุงผิวสามารถทำได้ แต่ต้องดูไม่ให้สครับข้นหรือเหลวเกินไปลักษณะของสครับที่ดีควรมีความหนืดเล็กน้อยจับตัวอยู่บนผิวได้และสะดวกแก่การขัด
25. ใครที่ชอบความหอมรื่นรมย์ สามารถเสริมกลิ่นด้วยการหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบลงไป 2-3 หยด ซึ่งต้องเป็นน้ำมันหอมระเหยสำหรับนวดตัว ซึ่งมักผสมที่ความเข้มข้นประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่สำหรับใส่เตาเผาน้ำมันเพราะน้ำมันหอมระเหยเข้มข้นจะทำให้ผิวไหม้
26. คนที่มีโรคเกี่ยวกับต่อมน้ำเหลือง เช่น ต่อมน้ำเหลืองอักเสบรุนแรง ต่อมน้ำเหลืองโต มีแผลเป็นหนอง หรือแม้แต่เป็นสิวอักเสบ ควรงดการสครับชั่วคราวจนกว่าจะหายเพราะการขัดเป็นการกระตุ้นให้อักเสบมากขึ้น
27. ถ้าจะสครับหน้าต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนที่สุด ขัดอย่างเบามือเพื่อกระตุ้นน้อย ๆ เน้นไปที่ร่องจมูกเลี่ยงจุดที่บอบบางมาก ๆ เช่น รอบดวงตา


วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ผิวขาวอมชมพู

ขัดผิวเพื่อผิวขาวอมชมพู



       หลังจากบทความที่แล้วเราได้นำเสนอเรื่องมาร์คหน้าให้ขาวอมชมพู วันนี้เราเลยนำเคล็ดไม่ลับมาทำให้ผิวกายขาวอมชมพูบางดีกว่าค่ะหรือจะใช้กับผิวหน้าก็ได้นะค่ะ 2 in 1 สูตรง่ายๆ หาวัตถุดิบง่ายๆ ว่าแล้วจะรีรออะไร เรามาเริ่มความสวยสุขภาพดีกันเลยดีกว่าค่ะ ^_^

1.ให้นำน้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ จมูกข้าวสาลี 2 ช้อนโต๊ะ และโยเกิร์ตเปล่า 1 ถ้วย นำมาคนให้เข้ากัน

2.จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้มาทาให้ทั่วตัว

3.จากนั้นใช้ปลายนิ้วแตะมาร์คมาขัดผิวเบาๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และเพื่อขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพออกไป

4.จากนั้นให้ล้างออก ให้สะอาดโดยโยเกิร์ตถือเป็นอาหารผิวที่ดีเยี่ยม และน้ำผึ้งยังช่วยเพิ่มความสวยงามให้กับผิวได้อย่างดี

**รับรองสูตรนี้ทำให้คุณผิวขาวอมชมพูได้ไม่ยากจ้า แถมยังเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้อีกด้วย

ช็อกโกแลตกินแล้วไม่อ้วน

ช็อกโกแลตดีต่อสุขภาพ


       งานวิจัยสำหรับคนที่ชอบทานช็อกโกแลตแต่ก็กลัวอ้วน ตอนนี้เค้าคิดช็อกโกแลตที่มีไขมันน้อยลงได้แล้ว

       ที่ University of Warwick เค้ามีงานวิจัยที่มีชื่อว่า “Healthier Fruit Juice Infused Chocolate Confectionary” ที่ศึกษาวิธีทำให้ช็อกโกแลตมีไขมันน้อยลงกว่าช็อกโกแลตทั่วๆไป นอกจากนี้ยังทำให้มันละลายจากสภาวะ“sugar bloom” ได้ยากขึ้นอีกด้วย (เมื่อช็อคโกแลตโดนน้ำหรือความชื้นก็จะทำให้น้ำตาลในช็อคโกแลตละลายออกไปผสมกับน้ำหรือความชื้น ทำให้สี,รูปร่างและรสชาติเปลี่ยนไป)

       สิ่งที่นักวิจัยทำก็คือการใช้น้ำผลไม้เป็นส่วนผสมแทนไขมันแบบเดิม Stefan Bon ผู้ทำงานวิจัยชิ้นนี้ กล่าวในแถลงการณ์ของทางมหาวิทยาลัยว่า “ไขมันนี่เองที่ทำให้คนติดใจทานช็อกโกแลต เมื่อเสริมด้วยรสชาติหวานละมุน ผิวสัมผัสที่ลื่นเนียนดุจแพรไหม ความสนุกเวลาที่หักแท่งช็อกโกแลตด้วยมือจึงทำให้คนชอบมันได้ไม่ยาก แต่ถ้าหากการใช้ส่วนผสมวิธีใหม่นี้ ได้ผลกับน้ำผลไม้หลายๆชนิดก็จะทำให้มันคงความอร่อยแบบเดิมไว้แต่มีไขมันที่น้อยลง


       หลายคนคงคิดว่าถ้าใช้การผสมแบบนี้จะทำให้ช็อกโกแลตนม, ไวท์ช็อกโกแลตหรือดาร์กช็อกโกแลตที่มีรสชาติของผลไม้อยู่สิ ไม่ต้องห่วงค่ะเค้าคิดวิธีแก้ให้แล้ว ด้วยการใส่สารละลายวิตามิน C (หรือกรดแอสคอร์บิก) เป็นส่วนผสมแทนน้ำผลไม้ก็ได้ ก็จะได้รสชาติของช็อกโกแลตล้วนๆ

       นั่นหมายความว่าเค้าใช้กระบวนการทางเคมีในการสร้างช็อกโกแลตที่ปราศจากไขมันโดยใช้น้ำผลไม้มาแทน ยิ่งถ้าผู้ผลิตนำไปต่อยอดให้มีรสชาติอร่อยขึ้น ไขมันและน้ำตาลน้อยลง อีกหน่อยเราก็จะมีช็อกโกแลตที่ดีต่อสุขภาพยิ่งขึ้นค่ะ

ขอขอบคุณ  http://www.dailygizmo.tv/

วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ผิวขาวด้วยสมุนไพรไทย

บำรุงผิวให้ขาวด้วยสมุนไพร


       สาวๆๆสมัยนี้ใครๆก็อยากขาว วันนี้เราเลยนำเคล็ดไม่ลับมาแอบบอกค่ะ ง่ายๆแค่ใช้สมุนไพรไทยนี่แหละค่ะ หาง่าย ถูก และอยู่คู่กับเรามานานอีกอย่างง สมุนไพรเหล่านี้สารพัดประโยชน์จริงๆค่ะว่าแล้วเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า ^^

1.สมุนไพรไทยชนิดที่หนึ่ง “ว่านหางจระเข้” สามารถช่วยให้ผิวขาวผุดผ่อง ดูสดชื่น มีน้ำมีนวล ขจัดสิว ลบรอยจุดด่างดำ ถ้าใช้กับคนผิวมันก็จะช่วยลดความมันลง และถ้าใช้กับคนผิวแห้งก็จะช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น โดยใช้น้ำที่ได้จากวุ้นสีขาวของว่านหางจระเข้ทาตรงบริเวณผิวของเรา (ควรลองใช้น้อยๆก่อนเผื่อในรายที่มีอาการแพ้)

2.สมุนไพรไทยชนิดที่สอง “งา” ช่วยประทินผิวให้ให้นุ่มนวลไม่หยาบกร้าน ผิวพรรณขาดผุดผ่อง โดยให้นำเอาเมล็ดงาสด มาบีบน้ำมันงาออกโดยไม่ผ่านความร้อน และนำน้ำมันที่ได้มาทาผิวกาย

3.สมุนไพรไทยชนิดที่สาม “แตงกวา” แตงกวาจะจะมีวิตามินสูงมาก มีสรรพคุณช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ช่วยสมานผิว อีกทั้งยังมีเอนไซม์ cryssin ซึ่งจะช่วยขจัดผิวหนังที่หยาบกร้านให้หลุดลอกออกไป เพื่อให้ผิวใหม่ที่อ่อนนุ่มเกิดขึ้นมาแทนที่ โดยให้ใช้ผลแตงกวาสดฝานเป็นชิ้นบางๆ วางบนใบหน้าที่ล้างสะอาดแล้ว

ที่มา สถาบันการแพทย์แผนไทย

วันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2556

บริหารกล้ามเนื้อตาเมื่ออยู่หน้าจอนานๆ

วิธีบริหารกล้ามเนื้อตาง่ายๆ


       ดวงตาถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งของร่างกาย วันๆหนึ่งเราใช้ดวงตาและสายตาในการจดจ้อง มอง ทุกสิ่งอย่าง แต่คุณรู้ไหมว่าดวงตาของเรานั้นก็มีอาการล้า และเหนื่อยเหมือนกัน วันนี้เราเลยนำท่าบริหารกล้ามเหนื่อยตามาฝากกัน เพื่อออกกำลังกายกล้ามเนื้อตา เพื่อลดความเครียด อาการเพลีย ล้าของดวงตา และถนอมดวงตาของเราให้อยู่กับเราไปนานๆกันค่ะ

1.กรอกตาขึ้น-ลงช้าๆ 6 ครั้ง
โดยเหลือบตาขึ้นสูงสุดและลงต่ำสุด ในระหว่างการบริหารอย่างเกร็งลูกตา

2.กลอกตาไปข้างขวาและซ้ายสลับกัน :
โดยกลอกตาไปให้ขวาสุด และซ้ายสุด ทำซ้ำ 2 - 3 ครั้ง

3.ชูนิ้วชี้ขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตา :
ห่าง จากสายตาประมาณ 8 นิ้ว แล้วจองมองไปที่ระยะไกลๆ ประมาณ 10 ฟุต สลับกับใช้ตามองระยะใกล้ที่นิ้งมือ ใช้เวลามองแต่ละที่ประมาณ 2 - 3 วินาที ทำสลับไปมาเช่นนี้ประมาณ 10 ครั้ง แล้วหยุดพัก 1 วินาที ทำประมาณ 2 - 3 รอบ

4.กลอกตาเป็นวงกลมช้าๆ :
โดยเริ่มกลอกตาตามเข้มนาฬิกาก่อน แล้วกลอกตาทวนเข็มนาฬิกา ทำประมาณ 10 ครั้ง แล้วหยุดพัก 1 วินาที ทำ ประมาณ 2 - 3 รอบ

เรื่องผิดๆเกี่ยวกับการดูแลผิวช่วงหน้าฝน

เรื่องผิดๆเกี่ยวกับการดูแลผิวช่วงหน้าฝน



     คนส่วนใหญ่มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการดูแลตัวเองในฤดูฝน เพราะคิดว่าอากาศสบาย ๆ ในวันฟ้าครึ้มฝนตก อาจไม่ได้ส่งผลร้ายต่อสุขภาพผิว สุขภาพกายของตนเอง ความเข้าใจผิดเหล่านี้อาจทำให้ฤดูฝนที่แสนสบาย เป็นฤดูสะสมความร่วงโรยแห่งผิวและสุขภาพโดยไม่รู้ตัวได้ อาวียองซ์ อะคาเดมี โดย ภก. ดร. พงศกรพัฒน์ อรุโณทยานันท์ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาความรู้ผลิตภัณฑ์ระดับนานาชาติ จะมาไขความกระจ่างว่าเพราะอะไร เราจึงยังควรต้องดูแลผิวพรรณในช่วงหน้าฝน

     หน้าฝนอากาศที่ขมุกขมัว ครึ้มฟ้าครึ้มฝนแบบนี้ หลายคนเข้าใจผิดว่าไม่จำเป็นต้องระวังภัยจากแสงแดด ไม่ต้องทากันแดดก็ได้ อันที่จริงแล้วแม้ไม่มีแสงแดดเลย แต่ในช่วงกลางวันก็ยังคงมีรังสียูวีเอ ที่มองไม่เห็นซึ่งเข้าทำร้ายผิวชั้นลึกให้มีปัญหาริ้วรอยแก่ก่อนวัยอยู่ดี ดังนั้นหากละเลย ไม่ทาโลชั่นกันแดดในวันใด ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้ผิวได้สะสมริ้วรอยลึกก่อนวัยมากขึ้นในวันนั้น

     แนะนำว่าต้องทาโลชั่นกันแดดที่ปกป้องครอบคลุมทั้งรังสียูวีเอ ยูวีบี และ อนุมูลอิสระทุกเช้าก่อนการแต่งหน้า โดยควรเลือกสูตรกันน้ำ ที่ไม่เหนอะหนะ เผื่อต้องลุยฝนก็ยังมั่นใจว่าผิวยังได้รับการปกป้องอย่างต่อเนื่อง และยิ่งสภาพอากาศร้อนชื้นในฤดูฝนจะทำให้ผิวสะสมความมัน ความสกปรกจากเหงื่อฝุ่นละออง สาว ๆ ที่ต้องแต่งหน้าไปทำงานด้วยรองพื้นเนื้อหนา จึงควรงด ใช้เครื่องสำอางเดิม ๆ ก็ได้ เพราะอาจยิ่งทำให้ผิวเหนอะหนะและเสี่ยงเกิดสิวได้ง่าย แต่ควรเปลี่ยนมาใช้ครีมรองพื้นชนิดเนื้อทิ้นท์ Tinted Foundation ที่เนื้อบางเบากว่าไม่หนาเหนอะหนะ โดยเลือกสูตรที่ให้เม็ดสีเข้มข้นเพียงพอที่จะปกปิดให้ผิวดูเป็นธรรมชาติ ตามด้วยแป้งฝุ่นเนื้อบางเบาจะช่วยซับความมันได้ อย่าลืมเลือกใช้มาสคาร่าและอายไลน์เนอร์ชนิดกันน้ำติดทนไว้ก่อน ตาจะได้ไม่เลอะเป็นหมีแพนด้าถ้ามีเหตุให้ต้องลุยฝน



      อากาศที่ร้อนชื้นเช่นนี้ ความสกปรกและคราบเครื่องสำอางหมักหมมอุดตันในรูขุมขนได้ง่ายขึ้น แต่สาว ๆ ยังคง ล้างหน้าเหมือนเดิมก็ได้ แต่หากต้องการป้องกันปัญหาผิวหมองคล้ำสะสมและสิวอักเสบ ทุกเย็นสาว ๆ ควรใส่ใจการทำความสะอาดผิวให้หมดจดจริง ๆ ด้วยการใช้ เคล็นซิ่งมิลค์ เช็ดคราบเครื่องสำอางให้หมดจดก่อนการล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้าอีกครั้งอย่างเบามือ และอย่าลืมบำรุงผิวก่อนนอนด้วยครีมที่เหมาะกับประเภทผิว

      นอกจากนี้ควรขัดสครับผิวเพื่อขจัดสิ่งอุดตัน 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ด้วย แถมยิ่งอากาศแปรปรวนในฤดูฝนทำให้คนป่วยง่ายขึ้น คนส่วนใหญ่มักคิดว่าการ กินแค่วิตามินซีก็พอ ในปริมาณสูง ๆ เพียงอย่างเดียวจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บป่วยในฤดูฝน อันที่จริงร่างกายต้องการมากกว่าแค่วิตามินซี ถ้าไม่แน่ใจว่าสามารถกินอาหารได้ครบห้าหมู่ได้วิตามินเกลือแร่ครบถ้วนทุกวันแนะนำว่าควรหาอาหารเสริมที่มีทั้งวิตามินและเกลือแร่รวมหลากหลายชนิดในเม็ดเดียวกันมารับประทานเสริมวันละเม็ด ร่วมกับการออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอจะดีกว่า

      สุดท้ายสาว ๆ มักคิดว่าฝนตก ร่างกายไม่ค่อยมีเหงื่อออก ไม่ต้องดื่มน้ำมากหรอก เพราะไม่หิวน้ำบ่อยก็เลยไม่ดื่มน้ำสม่ำเสมอ อันที่จริงน้ำระเหยสูญเสียออกจากร่างกายตลอดเวลา หากไม่ดื่มน้ำบ่อย ๆ ก็เสี่ยงที่เซลล์จะขาดน้ำโดยไม่รู้ตัว ร่างกายทำงานแปรปรวนป่วยง่าย ผิวแห้งเกิดริ้วรอยง่าย จึงจำเป็นต้องเติมน้ำให้กับร่างกายอย่างเพียงพอ วันละ 8-10 แก้ว โดยจิบสม่ำเสมอทั้งวัน


ขอขอบคุณ teenee

วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

มาร์คหน้าคืนความสดชื่นด้วยแอปเปิ้ล

มาร์คหน้าด้วยแอปเปิ้ล



        ผิวเมื่อเจอกับแสงแดด ลม หรือมลลภาวะย่อมเสียความชุ่มชื้น ทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำ หยาบกร้าน ซึ่งวันนี้เราจะนำเคล็ดลับง่ายๆโดยการใช้ แอปเปิ้ล ผลไม้หาง่ายในเมืองไทย มาช่วยฟื้นฟูสภาพผิวหน้า ให้ชุ่มชื้น สดใส เพราะในแอปเปิ้ลนั้นมีวิตามินซีสูงและแอปเปิ้ลยังช่วยให้ผิวเปล่งปลั่งสดชื่นดูดีมีออร่าอีกด้วยค่ะ

1.ล้างหน้าของคุณให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น แล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆซับหน้าให้แห้งสนิท

2.ล้างผลแอปเปิ้ลให้สะอาด แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆโดยไม่ต้องปอกเปลือก ใช้แอปเปิ้ลหนึ่งผลใหญ่หรือสองผลเล็ก นำแอปเปิ้ลทั้งหมดใส่เครื่องปั่น แล้วปั่นให้ละเอียด

3.ใช้หมวกคลุมผมสำหรับอาบน้ำหรือใช้ที่คาดผม เก็บเส้นผมไม่ให้หล่นมาปรกใบหน้า แล้วพอกแอปเปิ้ลที่เตรียมไว้ให้ทั่วใบหน้า ห้ามพูดคุยหรือเคลื่อนไหวขยับใบหน้า ทิ้งไว้สัก 25 นาทีแล้วล้างหน้าทำความสะอาด

วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ผลัดผิวง่ายๆให้ผิวเนียนใส

ผลัดผิวให้ผิวใสง่ายๆ


     ยิ่งมีอายุมากขึ้นชั้นผิวก็มีขี้ไคลที่ไม่ยอมหลุดออกตามธรรมชาติ แลทำให้ดูหยาบกร้านและหมองคล้ำ เคล็ดลับง่ายๆๆเพื่อความสวยดูแลอ่อนกว่าวัย เพื่อผิวเนียน ผิวใส นั่นคือกว่าสครับผิวหรือขัดผิวนั่นเอง ดังนั้นวันนี้เราเลยมี วิธีขัดผิวต่างๆมาฝากกันค่ะ



การขัดผิวด้วยสมุนไพร ใช้มะขามเปียกผสมกับขมิ้นขัดให้ทั่วตัว เพราะในมะขามเปียกมีสาร AHA (Alpha Hydroxyl Acid) และขมิ้นมีสาร แอนตี้ออกซิแดนซ์ เคอร์คูมินอยด์ ซึ่งจะช่วยให้ขัดขี้ไคลจนหลุดออกแล้ว ยังช่วยให้ผิวพรรณใสและขาว อีกทั้งยังช่วยชะลอความชราด้วย

การขัดผิวด้วยเครื่องสำอาง ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีผลึกขนาดเล็กและกลมมน เพื่อป้องกันการระคายเคืองและอักเสบของผิว แนะนำให้ใช้ผลึกเกลือธรรมชาติ เพราะไม่ทำร้ายผิวและละลายออกได้ง่าย เมื่อล้างออกด้วยน้ำ ถึงแม้การขัดผิวแบบนี้จะดี แต่ก็ไม่ควรขัดผิวมากกว่าอาทิตย์ละครั้ง เพราะจะทำให้ผิวบางและเกิดอาการแพ้ได้ง่าย

วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

มะเขือเทศช่วยลดน้ำหนักตัว

มะเขือเทศช่วยลดความอ้วน



       นสพ.ชื่อดังของ อังกฤษเผย ช่วยปรับระดับฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้รู้สึกอิ่มนาน ลดการบริโภคขนมขบเคี้ยวได้ดี …ผู้เชี่ยวชาญ ด้านโภชนาการพบว่ามะเขือเทศเป็นอาหารที่ช่วยลดความอ้วนได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปพยายามลดอาหารและปล้ำออกกำลังจนหน้าดำหน้าแดงเลย

      หนังสือพิมพ์ราย วัน “เดอะ เดลี่ เอกซ์เปรสส์” ชื่อดังเมืองอังกฤษ รายงานว่า นักวิจัยมหาวิทยาลัยรีดดิงของสหรัฐฯ ได้ศึกษากับสตรี 17 คน โดยให้กินแซนด์วิชที่ทำด้วยขนมปังขาว ชนิดที่มีหัวผักกาดแดง หรือมะเขือเทศเป็นไส้เป็นอาหาร

       ปรากฏผลว่าผู้ที่กินแซนด์วิชที่ประกบมะเขือเทศ จะพากันรู้สึกอิ่มทนนานที่สุด และไม่ค่อยไปหาของขบเคี้ยวกินพร่ำเพรื่อ อันเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้อ้วนอย่างหนึ่ง ดร.จูซี่ เลิฟโกรฟ์ หัวหน้าโครงการ วิจัยเชื่อว่า เป็นเพราะมะเขือเทศมีส่วนประกอบที่ไปปรับระดับฮอร์โมน ซึ่งทำให้รู้สึกหิวเสียใหม่ได้ จึงทำให้ไม่ค่อยรู้สึกหิว
         “แม้จะยังไม่ อาจบอกได้ว่า ส่วนประกอบที่สำคัญเป็นอะไร แต่มันก็ให้ผลเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง” ดร.จูซี่ บอก

ขอขอบคุณ  teenee

วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556

16 วิธีเพิ่มความสูง

16 วิธีเพิ่มความสูง


1. ออกกำลังกายเพิ่มความสูง หรือการออกกำลังกายที่ทำให้มีการยืดของร่างกายวันละประมาณ 30-60 นาที เช้น กระโดดเชือก บาสเกตบอล ว่ายน้ำ วอลเลย์บอล หรือการออกกำลังกายในลักษณะห้อยโหนตัว ซึ่งค่อนข้างจะได้ผลดีมากเพราะการออกกำลังกายจะช่วยไปกระตุ้นการหลังของโกรทฮอร์โมนให้เพิ่มมากขึ้น

2. กระโดดเชือกให้ได้วันละ 30 นาที อาจจะแบ่งทำเป็นครั้งละ 5 นาทีแล้วพัก แต่ต้องทำให้ครบหรือมากกว่า 30 นาที (ไม่นับรวมเวลาพัก)

3. กระโดดสูงบ่อยๆ โดดให้สูงจากพื้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยอาจจะกระโดดอยู่กับที่ก็ได้ ซึ่งวิธีการโดดก็คือแบ่งเป็นเซทโดดครั้งละ 10 ที และทำมากกว่า 5 เซทขึ้นไป

4. การเลือกรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ เพราะมีส่วนช่วยในการเจริญเติบโต และที่สำคัญเน้นรับประทานอาหารที่มีโปรตีนและมีแคลเซียมควบคู่กันไปด้วย



5. ดื่มนมให้ได้วันละ 2 แก้ว หลังอาหาร(เช้าและก่อนนอน) เพราะนมอุดมไปด้วยแคลเซียมซึ่งมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและกระดูก

6. การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และรับประทานให้ครบ 3 มื้อทุกๆวัน (เช้า กลางวัน เย็น)

7. งดการดื่มน้ำอัดลม เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และงดการสูบบุหรี่ด้วยถ้าเป็นไปได้

8. เครื่องยืดกระดูก ซึ่งการทำงานของเครื่องนี้ก็คือการเพิ่มความสูงด้วยการยืดกระดูก ลำตัว และข้อต่อ ซึ่งทำให้เกิดพื้นที่หรือช่องว่างมากขึ้น เหมือนกับการเล่นกีฬาอย่างบาสเกตบอล วอลเลย์บอล



9. นอนหลับอย่างพอเพียงและเป็นเวลา ไม่ควรนอนดึกเพราะฮอร์โมนที่ช่วยเรื่องความสูงอย่างโกรทฮอร์โมนจะหลั่งในช่วงเที่ยงคืนถึงตีห้า และโกรทฮอร์โมนจะหลั่งออกมามากถ้าหากนอนหลับอย่างสนิท ในขณะที่การหลับๆตื่นๆจะทำให้โกรทฮอร์โมนหลังออกมาน้อยมาก

10. การฉีดยาเพิ่มความสูง เป็นการฉีดโกรทฮอร์โมนเพิ่มความสูง หรือฮอร์โมนจีเอช (Growth hormone : GH) ผลเสียคือ ถ้าฉีดมากๆเราอาจเป็น โรคเบาหวานได้

11. การรับประทานผลิตภัณฑ์โกรทฮอร์โมนเสริมอาหาร อันนี้ไม่แน่ใจว่าจะเห็นผลมากน้อยเพียงใด แต่ไม่แนะนำเนื่องจากฮอร์โมนทุกชนิดอาจถูกย่อยสลายในกระเพาะ

12. โคลอสตรุ้มเพิ่มความสูง (Colostrum) หรือ น้ำนมเหลืองจากแม่วัว ที่หลังออกมาในช่วงวันแรกหลังการคลอด เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความสูงได้โดยไม่มีผลข้างเคียงแต่อย่างใด ซึ่งประกอบไปด้วยสารอาหารและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและความสูงโดย อย่าง ธาตุแคลเซียม ธาตุแมกนีเซียม วิตามินดี ในปริมาณที่เหมาะสม

                             


13. เทคนิคเพิ่มส่วนสูง แบบเห็นผลทันที ถ้าเป็นผู้หญิงก็คงจะใส่ส้นสูง แล้วถ้าเป็นผู้ชายใช้แผ่นรองส้นเพิ่มความสูง ที่ผลิตจากใยสังเคราะห์ผสมกับโฟม มีความยืดหยุ่น สามารถสลับไปใส่กับรองเท้าคู่อื่นๆก็ได้ และสามารถถอดออกมาซักได้ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มความสูงได้ตั้งแต่ 3.5 - 10 ซม.เลยทีเดียว

14. การผ่าตัดเพื่อเพิ่มความสูง เป็นการผ่าตัดยืดกระดูก ที่บริเวณขา หน้าแข้ง ซึ่งตามทฤษฎีแล้วสามารถเพิ่มความสูงได้มากถึง 5 ซม. แต่ข้อเสียของวิธีนี้คือมีความเสี่ยงหลายประการ เช่น กระดูกที่ได้จากการเชื่อมต่ออาจจะไม่แข็งแรงเหมือนเดิม ใช้ระยะเวลาในการรักษานานเป็นปี

15. วิธีการเพิ่มความสูงสำหรับทุกวัย โดยจะช่วยเพิ่มความสูงได้ประมาณ 1 ซม. โดยต้องทำวันละ 1 นาที ซึ่งเป็นเทคนิคจากแพทย์โรคกระดูกญี่ปุ่น โดยวิธีการง่ายๆก็คือ ให้นั่งขุกเข่า แล้วโน้มตัวไปด้านหลังจนนอนราบ ส่วนแขนก็ยืดขึ้นด้านบนราบกับพื้น และค้างไว้ทานี้ประมาณ 1 นาที ซึ่งจะช่วยให้กระดูกที่งอหรือคดตามกาลเวลาให้กลับมาอยู่ในแนวตรงเหมือนเดิม ผลที่ได้ก็คือจะได้ความสูงตามความจริงของเรากลับมานั่นเอง

16. วิธีเพิ่มความสูงด้วยตัวเอง ข้อสุดท้ายสำคัญมากๆ คือ "ความสม่ำเสมอ" และ "ความสม่ำเสมอ"

ฟอกฟันขาวโดยไม่ต้องพึ่งแพทย์

ฟันขาวสวยๆด้วยสิ่งรอบตัว



        ปัญหาสีฟันไม่สวยเป็นเรื่องทั่วๆไปที่เป็นปัญหากวนใจหลายๆคน อาจจะเกิดจาก แบคทีเรีย คราบพลัค และจะเกิดได้ง่ายกับคนที่ติดกาแฟ บุหรี่ วันนี้เราเลยมาแนะนำวิธีฟอกสีฟันโดยไม่เสียเงินเยอะ ไม่ต้องพึ่งแพทย์มาฝาก

ยาสีฟัน+ เบกกิ้งโซดา
เลือกยาสีฟันเฉพาะจุด หรือทำเองได้โดยการใช้เบกกิ้งโซดาที่แพทย์ยอมรับว่ามีประสิทธิภาพสูง วิธีคือบีบแตะกับแปรงสีฟันแล้วค่อยบีบยาสีฟันตาม จากนั้นนำมาแปรงตามปกติ

เจลฟอกฟันขาว
เดี๋ยวนี้มี เจลสำเร็จรูป (Bleaching Gel) ที่มีตัวยาอย่าง Hydrogen Peroxide หรือ Carbamide Peroxide ที่ทำให้ออกซิเจนในฟันเพิ่มขึ้น ฟันจึงขาวขึ้น สารสองตัวนี้อาจมาในรูปแบบอาจเป็นสติ๊กเกอร์แปะฟัน เป็นเจลที่ทาในถาดแล้วนำมาครอบฟัน หรือบางคนก็เอาสารตัวนี้เดี่ยวๆ ไปผสมน้ำยาบ้วนปากในอัตราส่วน 1:1

ทานอาหารเสริมฟันขาว
อาหารที่ดีต่อสีฟันก็มี นั่นคือ สตรอเบอร์รี่ ที่มีสารเสริมฟันขาวโดยธรรมชาติขณะที่ทานเขาไป หรือให้ตรงจุดมากขึ้น โดยการบดให้ละเอียดแล้วนำมาพอกบนฟัน หรือผสมกับยาแปรงสีฟันที่มีฟลูออไรด์เมื่อแปรงฟัน

ยาสีฟันแบบไวท์เทนนิ่ง
เป็นวิธีที่เรียบง่ายที่สุด แต่อาจได้ผลลัพธ์ที่นาน เช่น 1 เดือนขึ้นไป ทางที่ดีควรใช้ไหมขัดฟันประกอบด้วย และดียิ่งขึ้นไปอีก หากเลี่ยงเลี่ยงน้ำดื่มสีๆ ทั้งหลาย เพราะนี่คือสาเหตุของสีฟันที่คุณไม่ต้องการนั่นเอง

วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2556

กายบริหารกระชับทรวงอก

กระชับทรวงอกง่ายๆด้วย 6 วิธี

       สำหรับผู้หญิงแล้วคุณคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า "อกหักเรื่องเล็ก อกเล็กเรื่องใหญ่"กันใช่ไหมค่ะ แต่ไหนเลยถึงเราจะหน้าอกใหญ่แต่ถ้าไม่รู้จักดูแล ให้หน้าอกกระชับ เต่งตึงแล้วล่ะก็ สู้มีอกเล็กดีกว่าค่ะ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามถึงคุณจะอกเล็กอกใหญ่เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะกระชับหน้าอก ให้ดูดีอยู่เสมอ





ท่าที่ 1 : ผลักกำแพง
ท่านี้เบสิกแค่ยืนหันหน้าเข้าหากำแพง เว้นระยะห่างออกมาเล็กน้อย แล้วยืดแขนทั้งสองข้างออกไปผลักกำแพงให้สุดแรงเกิดดันค้างไว้สัก 10 วินาที แล้วพักสะบัดแขนสักหน่อย ทำซ้ำอย่างนี้สัก 10 รอบนะค่ะ

ท่าที่ 2: จับศอก
เริ่มยากมาอีกขั้นนึง เริ่มจากยืนตัวตรง เท้าเอว แล้วค่อย ๆ เลื่อนมือไปข้างหลังช้า ๆ จนจับข้อศอกอีกข้างหนึ่งได้ (คล้าย ๆ กับการกอดอกนั่นแหละ แต่อยู่ข้างหลังแทน) แล้วค้างไว้ 10 วินาทีเพื่อให้กล้ามเนื้อหน้าอกได้ยืดตัวหน่อย ทำสัก 8 รอบ

ท่าที่ 3 : กรรเชียงบก
คงเคยได้ยินใช่ไหมล่ะว่าการว่ายน้ำจะทำให้หน้าอกสวยได้รูป  ถ้าอย่างนั้นก็ตีกรรเชียงบนบกละกัน โดยยืนตัวตรงชูแขนทั้งสองข้างขึ้นแล้วหมุนแขนเหมือนว่ายน้ำท่ากรรเชียงช้า ๆ ทำสัก 50 ครั้ง แต่ถ้ายิ่งทำเยอะกล้ามเนื้อก็ยิ่งฟิต



ท่าที่ 4 : ไหว้แบบหนังจีน
ท่าหนังจีนกำลังภายในเอาฝ่ามือประกบกันไว้ตรงกลางอกเหมือนเวลาเราไหว้ปกติ แต่ยกศอกขึ้นมาจนท่อนแขนขนานกับพื้น แล้วก็ดันมือเข้าหากันเหมือนกับจะปล่อยพลังสัก 5 วินาที แล้วก็อย่าลืมผ่อนคลายกล้ามเนื้อก่อนจะทำซ้ำอีก 10 รอบ

ท่าที่ 5 : Push-Ups
ที่ผ่านมามีแต่ท่ายืนทั้งนั้นเลยเรามาลองก้มลงคลานบ้างดีกว่าท่านี้อาจจะยาดนิดนึงนะค่ะ เหยียดแขนให้ตึงนะ จากนั้น ยกขาขึ้นหนึ่งข้างแล้วเหยียดปลายเท้าให้ตึง งอแขนลงจนหน้าอกเกือบติดพื้น แล้วยืดแขนขึ้นมางอขาลงเหมือนเดิม ทำสลับข้างไปมาสัก 20 ครั้งนะ

ท่าที่ 6: Cool Down
ท่านี้คือการโพสท่าสวย ๆ ช่วยกระชับหน้าอกคุณได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องวางหนังสือหนัก ๆ เอาไว้บนหัวด้วยนะ เหมือนกับการฝึกเดินแบบแล้วถ้าแค่โพสยังไม่สะใจจะเดินไปเดินมาก็ได้ แค่อย่าให้หนังสือหล่นจากหัวก็พอ

ลบเลือนจุดด่างดำง่ายๆด้วยวิธีธรรมชาติ

ลบเลือนจุดด่างดำบนใบหน้า

       จุดด่างดำสิ่งที่หลายๆคนกังวล จุดด่างดำสามารถเกิดได้กับทุกคน จุดด่างดำอาจเกิดจาก รอยสิว ฮอร์โมน  กรรมพันธุ์ ที่สำคัญคือแสงแดด โดยเฉพาะหนุ่มๆสาวๆที่ไม่ชอบทากันแดด ถึงแม้ว่าหน้าจะใสเพียงไหนแต่ถ้ามีจุดด่างดำบนใบหน้าก็ดูไม่ดีใช่ไหมค่ะ ดังนั้นวันนี้เรามีเคล็ดไม่ลับมาเล่าสู่กันฟังค่ะ ว่าแล้วเราก็ไปหาวัตถุดิบกันเลยดีกว่าค่ะ ^_^



นม กรดแล็คติกในน้ำนมช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้นได้ และยังช่วยปรับผิวให้เรียบเนียบขึ้น วิธีทำก็ง่ายๆ แค่ชุบสำลีลงในน้ำนมแล้วมาแปะตรงบริเวณที่เกิดจุดด่างดำ ทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออก 

น้ำมันละหุ่ง มีคุณสมบัติเป็นกรดและช่วยต้านการอักเสบ อีกทั้งยังให้ความชุ่มชื้น แค่แต้มไปบนจุดด่างดำวันละสองครั้ง

น้ำมะนาว  น้ำมะนาวมีความเป็นกรดอ่อนๆ ที่สามารถฟอกสีบนผิวชั้นบนได้ โดยใช้คอตตอนบัดจุ่มน้ำมะนาวและแต้มไปบนจุด วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น  ที่สำคัญอย่าลืมเรื่องความสะอาดด้วยนะค่ะ

ว่านหางจระเข้ ใช้วุ้นของว่านถูไปตรงจุดด่างดำวันละสองครั้ง และปล่อยทิ้งไว้อย่างน้อย 45 นาที ก่อนที่จะล้างออก สรรพคุณสำคัญของว่านหางจระเข้คือช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิว จึงทำให้วิธีนี้ใช้ได้ผลดีกับจุดบอกวัยด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2556

"มือ"เนียนนุ่มสัปปะรดช่วยได้

ถนอม "มือ" ด้วยสับปะรด



        สำหรับใครๆที่อยากมีมือเนียนนุ่มสวยแล้วล่ะ ลองมาทำตามวิธีต่อไปนี้ดีกว่าค่ะ ด้วยตัวช่วยสัปปะรดแหล่งอุดมด้วยแร่ธาตุ วิตามินซี แถมยังหาซื้อได้ตลอดทั้งปีอีกด้วย ว่าแล้วเผื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเราลองมาทำกันเลยดีกว่าค่ะ

       เริ่มจาก นำสับปะรดมาหั่นประมาณ 4-5 ชิ้น ใส่ในเครื่องปั่น เติมน้ำผึ้งลงไป 2 ช้อนโต๊ะ ปั่นให้ละเอียดจนกลายเป็นเนื้อครีมเหลว กรณีไม่มีเครื่องปั่น ให้ใช้ช้อนหรือส้อมยี ผสมน้ำผึ้งคลุกเคล้าให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นล้างมือให้สะอาด นำครีมสับปะรดมาลูบไล้มือทั้งสองข้างทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ใช้ผ้าขนหนูซับจนแห้ง ตบท้ายด้วยโลชั่นที่คุณใช้เป็นประจำ

อัศวินของผลไม้ สัปปะรด

ประโยชน์ของสัปปะรด

      สัปปะรด อัศวินของตระกูลผลไม้แหล่งอุดมไปด้วยวิตามินซี วันนี้เราจะมาแนะนำสาระดีๆ ของสัปปะรดกันค่ะ สัปปะรดในบ้านเรามาสารถหาซื้อได้ง่ายตลอดทั้งปี ดังนั้นเราจึงไม่ควรมองข้ามไป



1. ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง รับประทานสับปะรดวันละหนึ่งชิ้น ก็จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินซี ที่สำคัญคือวิตามินซีช่วยในการทำงานของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายติดเชื้อ และต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ การรับประทานสับปะรดวันละหนึ่งชิ้น จึงเป็นการเพิ่มแรงต้านโรคให้แก่ร่างกาย แต่ในผู้ที่มีเลือดจางไม่ควรกินมากนัก

2. ช่วยในการย่อยอาหาร สับปะรดมีกากใยอาหารมาก ซึ่งมีความสำคัญกับการย่อยอาหาและยังช่วยลดคอเลสเตอรอล ควบคุมน้ำตาลในเส้นเลือด และช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง

3. ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี สับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ เช่น วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแมงกานีส ที่จะช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระ ที่จะทำลายโครงสร้างของเซลล์ และอาจทำให้เป็นโรคหัวใจและอัมพฤกษ์ อัมพาต



4. ป้องกันความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง การรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำ และลดการสูบบุหรี่ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งเต้านม เพราะสับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ที่ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการก่อมะเร็ง และจากการศึกษาพบว่า เอนไซม์ Bromelain ในสับปะรดจะช่วยป้องกันการเติบโตของเซลล์ร้ายในปอด ป้องกันมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งรังไข่

5. ช่วยป้องกันโรคต่าง ๆ การรับประทานผักและผลไม้ให้ได้วันละ 5 กำมือ จะช่วยลดการเสียชีวิตด้วยโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือมะเร็ง ได้ถึง 20%

6. ช่วยให้เหงือกแข็งแรง สับปะรดช่วยให้สุขภาพในช่องปากแข็งแรง เนื่องจากสับปะรดมีวิตามินซีสูง ที่จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากโรคเหงือกได้

7. ช่วยยับยั้งการอักเสบ เอนไซม์ Bromelain ในสับปะรดจะช่วยยับยั้งการอักเสบ ทั้งนี้ ชาวอเมริกาใต้โบราณ ใช้สับปะรดเป็นยารักษาโรคผิวหนังและรักษาบาดแผล

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก Lisa

วันพุธที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556

แตงกวารักษาสิว

มาร์คหน้าด้วยแตงกวารักษาสิว

สำหรับใครที่กำลังมองหาวิธีรักษาสิวด้วยวิธีธรรมชาตินะค่ะ วันนี้ทางเรามีสูตรรักษาสิวด้วยตัวเองแบบง่ายๆ สำหรับสาวๆมาฝาก แถมวัตถุดิบยังหาได้ง่ายตามท้องตลาดอีกด้วย แถมราคาถูกภูมิปัญญาท้องถิ่นไม่ต้องเสียตังค์เยอะๆซื้อพวกเจลแต้มสิวกันเลยยย  ว่าแล้วเราก้อมาดูกันเลยดีกว่า


วิธีที่ 1 วิธีนี้ไม่ยุ่งยากอะไร ง่ายๆ เลยนำแตงกวามาล้างให้สะอาด แล้วหั่น slice ให้บางหน่อย จากนั้นก็นำแตงกวาที่หั่นแล้วมาทาให้ทั่วบริเวณใบหน้า ทิ้งไว้ซักพักแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น เป็นการทำให้หน้าสะอาด ป้องกันสิวได้

วิธีที่ 2 น้ำแตงกวามาล้างให้สะอาด เอาเปลือกแตงกวาออก จากนั้นใช้มีดหั่นและสับให้เป็นชิ้นเล็กๆ แต่ไม่ต้องให้เละจนละเอียดมาก ให้เละแบบหยาบๆ พอ จะปริมาณว่าสามารถนำมาพอกหน้าเราได้เพียงพอ เมื่อเราสับแตงกวาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราจะได้ในส่วนของเนื้อแตงกวาที่เละๆ และน้ำแตงกวาด้วย นำทั้งหมดที่ได้มานวดให้ทั่วบริเวณผิวหน้า จากนั้นพอกเอาไว้ที่ใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณซัก 5 นาทีแล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำอุ่น วิธีนี้จะช่วยให้หน้าใส ชุ่มชื้น และห่างไกลจากสิว

วันอังคารที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ผิวสวยด้วยน้ำมะพร้าว

มะพร้าวช่วยให้ผิวสวย



       เคยได้ยินไหมว่าดื่มน้ำมะพร้าวแล้วผิวสวย เหตุผลก็คือในน้ำมะพร้าวอุดมไปด้วยแร่ธาตุจากธรรมชาติ เพราะต้นมะพร้าวมีลำต้นสูง ต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆ ของลำต้นกว่าจะถึงลูกมะพร้าวที่อยู่ข้างบน ทำให้น้ำมะพร้าวที่ได้มามีความบริสุทธิ์ อุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด นอกจากนี้ในน้ำมะพร้าวยังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ภายใน 5 นาทีและยังเป็นประโยชน์ในการ ขับสารพิษออกจากร่างกายด้วย

       จากผลงานวิจัยพบว่าในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูง ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ที่จะทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น ชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย นอกจากนี้ น้ำมะพร้าวยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของ เสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย คล้ายกับการทำ ดีท็อกซ์ จึงช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่มีความเป็นกรดสูง ทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในร่างกายเป็นปกติ ส่งผลให้มีสุขภาพดี ทั้งภายในและภายนอก

       โดยเฉพาะผู้หญิงที่เป็นสิวหรือมีรอบเดือนติดต่อกันไม่หยุด การดื่มน้ำมะพร้าวเป็นประจำยังมีส่วนช่วยให้ระบบภายในร่างกายดีขึ้น โดยช่วงแรกที่ดื่ม อาการเหล่านั้นอาจจะเพิ่มขึ้นกว่าเดิม แต่นั่นถือเป็นสิ่งดี เพราะแสดงว่าร่างกายกำลังถูกกระตุ้นให้ขับของเสียออกมา และสำหรับคุณแม่ที่เพิ่งคลอดบุตร หากไม่มีน้ำนมเพียงพอให้ลูกกิน ก็สามารถให้น้ำมะพร้าวเสริมแทนน้ำนมแม่ได้ เนื่องจากน้ำมะพร้าวมีความบริสุทธิ์กว่านมผงหรือนมวัว และไม่มีสารเคมีเจือปนที่เป็นอันตรายต่อร่างกายของเด็ก นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย เนื่องจากมีปริมาณเกลือแร่ ที่จำเป็นสูง รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียจากอาการท้องเสียหรือท้องร่วงได้ ดังนั้น น้ำมะพร้าวจึงจัดเป็นสปอร์ตดริงก์ (Sport Drink) สามารถดื่มหลังการสูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายได้เช่นกัน โดยมีรายงานเพิ่มเติมว่า ชาวไต้หวันและชาวจีนนิยมดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อลด อาการเมาหลังการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกด้วย

        การดื่มน้ำมะพร้าวที่ถูกต้องนั้น ควรเปิดลูกมะพร้าวแล้วดื่มในทันที ไม่ควรทิ้งไว้นาน เนื่องจากคุณค่าจะลดต่ำลงเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่เก็บ และ ควรซื้อมะพร้าวที่เฉาะสดๆ ซึ่งจะได้ทั้งความสดใหม่ และปลอดภัยกว่า หากใครต้องการมีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก รวมทั้งมีผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส แลดูอ่อนกว่าวัย น้ำมะพร้าวคือหนึ่งในเครื่องดื่มที่คุณควรดื่มค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก  www.sanook.com

ลบเลือนผิวแตกลาย

ทริคง่ายๆ ลบเลือนผิวแตกลาย


            ปัญหาผิวแตกลายเกิดขึ้นมาจากการคลอดบุตรหรือการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว และโดยเฉพาะกับสาวๆ ที่อายุยังน้อยแล้วเกิดปัญหาหน้าท้อง น่อง สะโพกลาย ผิวแตกลายเป็นเรื่องที่เกิดมาเพื่อกวนใจผู้หญิงอย่างเราเป็นที่สุด นอกจากจะทำให้ขาดความมั่นใจแล้วยังแก้ไขและลบเลือนยากอีกด้วย เวลาที่จะใส่อะไรที่สั้นๆ อยากโชว์ความเรียบเนียนของผิวก็ไม่ได้ บางคนอาจใช้เวลาทั้งชีวิตในการลบเลือนผิวแตกลายเลยก็ว่าได้ แต่วันนี้ไม่อีกต่อไป เพราะเรามีทริคเด็ดๆง่ายๆในการลบเลือนผิวแตกลายมาบอกกันค่ะ



         ริ้วรอยและผิวแตกลาย มักเป็นปัญหาใหญ่กวนใจหลายคน โดยเฉพาะสาวๆ ที่รักสวยรักงาม แต่ต่อจากนี้ไป สาวๆ ก็ไม่ต้องกังวลกับปัญหาดังกล่าวอีกแล้ว เพราะเรานำเทคนิคง่ายๆ ที่ช่วยลดริ้วรอย และผิวแตกลายมาบอกต้องทำอย่างไรบ้างไปดูกัน

          วิธีที่1ให้ใช้วุ้นสีขาวจากว่านหางจระเข้ ซึ่งล้างยางออกแล้วมาทาบริเวณรอยแตกลายเป็นประจำทุกเช้า - เย็น ผิวที่แตกลาย หรือริ้วรอยต่างๆ ก็จะค่อยๆ จางลง

          วิธีที่2ใช้ใบบัวบกแทน โดยการนำมาตำคั้นเอาแต่น้ำ นำมาทาบริเวณรอยแตกลายเป็นประจำทุกเช้า- เย็น ผิวที่แตกลายจะค่อยๆ จางลงได้เช่นกัน

แก้ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอบนใบหน้า

สีผิวไม่สม่ำเสมอเราช่วยได้ !



          มีหลายวิธีที่จะช่วยอำพรางสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอของเราให้ดูเรียบเนียนขึ้น แต่สิ่งที่ดีกว่าการแก้ปัญหาคือการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหานั่นเอง ดังนั้นเราจึงควรสนใจครีมกันแดดให้มากขึ้นเพราะครีมกันแดดจะช่วยปกป้องผิวของเราจากแสงแดดจ้า ที่เป็นสาเหตุหลัก ๆ ของการมีสีผิวไม่สม่ำเสมอ และยังเป็นสาเหตุที่ทำให้จุดด่างดำบนใบหน้าของเรามีสีเข้มและเห็นเด่นชัด รวมทั้งป้องกันผิวกายจาก UVA UVB ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งผิวหนัง

           แต่ถ้ามันสายเกินป้องกันเพราะจุดด่างดำอยู่บนใบหน้าของเราเรียบร้อย ก็อย่าเพิ่งกังวลไปค่ะ เพราะการสครับก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้จุดด่างดำจากการได้รับแสงแดด เป็นประจำจางลงได้เช่นกัน

            แต่ถ้าการป้องกันก็สายเกินไป และการสครับก็เห็นผลช้า คุณก็สามารถใช้คอนซีลเลอร์ช่วยปกปิดจุดด่างดำได้ โดยทาคอนซีลเลอร์ลงบนจุดด่างดำ แล้วเกลี่ยให้เรียบเนียนจนกลืนไปกับผิว ก่อนลงมือแต่งหน้าตามปกติ เท่านี้คุณก็จะสามารถซ่อนสีผิวไม่สม่ำเสมอได้อย่างมิดชิดแล้วล่ะ

วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เผยเคล็ดลับการขัดขี้ไคลให้ผิวเนียนนุ่ม

ขัดขี้ไคลเผยผิวเนียน

      สาวๆคงอยากมีผิวที่เนียนนุ่ม ผิวกายขาว กระจ่างใสกันใช่ไหมค่ะ นอกจากเราจะต้องหมั่นทาโลชั่นบำรุงสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวันแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการทำความสะอาดผิวกาย เช่นการขี้ไคลตามส่วนต่างๆของร่างกาย  ดังนั้นวันนี้เราจึงนำเคล็ดลับเด็ดๆมาเผยวิธีการขัดขี้ไคลที่ช่วยเผยผิวกายของคุณให้มีออร่ากันค่ะ

        1.ขณะอาบน้ำ ให้ใช้ฟองน้ำหรือผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นลูบบริเวณผิวให้ทั่วประมาณ 2 –3 นาทีจนเริ่มเปื่อย แล้วค่อย ๆ ถูออก สังเกตได้ว่าคราบขี้ไคลจะหลุดออกได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

        2.ใช้น้ำมันมะกอกหรือเบบี้ออยล์ประมาณ 4 ช้อนโต๊ะผสมกับเกลือป่น 2 ช้อนชา แล้วนำไปนวดผิวเบา ๆ ให้ทั่วก่อนอาบน้ำ เพื่อช่วยขัดและบำรุงผิวให้นุ่มและขจัดคราบสิ่งสกปรกที่เกาะอยู่บนผิวได้

        3.หาอุปกรณ์ขัดผิวมาเป็นตัวช่วย เช่น ใยบวบ หินขัดตัว ถุงมือ,แปรงขัดผิว นำมาขัดขณะฟอกสบู่หรือขัดบนผิวเปียกจะช่วยให้คราบขี้ไคล ครีมทาผิวที่ตกค้างอยู่บนผิวหลุดลอกออกได้ดี แต่มีข้อระวัง คือ สาว ๆ ควรขัดอย่างเบามือ ส่วนคนที่มีแผล ก็ไม่ควรขัดด้วยวิธีนี้ เพราะผิวอาจจะแสบและระคายเคืองได้

        4.หมั่นสครับผิวกันสักนิด อาทิตย์ละ 2 ครั้ง ด้วยเกลือขัดผิว มะขามเปียก กากกาแฟ เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป

วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2556

แก้ไขรูปหน้าด้วยบลัชออน

แก้ไขหน้าด้วยบลัชออน

         การปัดบลัชออนนอกจากจะช่วยเติมสีสันให้ใบหน้าคุณดูเปล่งปลั่งสดใสแล้ว ยังช่วยอำพรางรูปหน้า แก้ไขรรูปหน้าที่มีปัญหาให้ดูดีขึ้นด้วย ถ้าคุณปัดบลัชออนด้วยวิธีของเรานี้


หน้าเหลี่ยม
     ปัดบลัชออนโทนสดใสลงบนแก้ม โดยเริ่มจากจุดสูงสุดของแก้ม แล้วลากแปรงให้เลยขึ้นไปจนถึงขมับ จากนั้นก็ปัดจากคางขึ้นไปถึงบริเวณใต้ใบหู ก็จะช่วยให้ขากรรไกรสี่เหลี่ยมดูโค้งมนขึ้นได้

หน้ากลม
     อย่าปัดบลัชออนลงบนจุดสูงสุดของแก้ม เพราะจะยิ่งเน้นให้เห็นหน้ากลม ๆ ชัดขึ้น แต่ปัดให้สูงขึ้นอีกนิดนึงก็จะช่วยพรางตาให้ใบหน้าดูยาวขึ้นได้ จากนั้นใช้บรอนเซอร์หรือบลัชออนโทนสีน้ำตาลอมชมพู แรเงาบริเวณใต้โหนกแก้มเรื่อยลงไปจนถึงขากรรไกร

หน้ายาว
     ปัดบลัชออนลงบนจุดสูงสุดของแก้ม แล้วลากแปรงออกไปจนถึงใบหู เพื่อสร้างภาพลวงตาให้ใบหน้าดูกว้างขึ้น จากนั้นพรางให้ใบหน้าดูสั้นลง โดยปัดบลัชออนผ่านกลางหน้าผากและตามรูปคาง

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก lisa


บลัชออนแต่งแก้มให้เนียนสวยใส

บลัชออนแต่งแก้ม

       วันนี้เรามีเคล็ดลับง่ายๆ มาฝากคุณผู้หญิงในการปัดแก้มให้แลดูมีเลือดฝาด ให้ใบหน้าดูเนียนใส และดูน่าสนใจแก่ผู้ที่ผ่านไปมา นอกจากนี้แล้วการปัดบลัชออนยังช่วยแก้ไขรูปหน้าได้อีกด้วย



เลือกสีบรัชออนให้เหมาะกับสีผิว สาวผิวขาว ควรเลือกใช้บรัชออนสีกุหลาบหรือสีชมพูเพื่อช่วยปรับให้ผิวดูมีเลือดฝาด ไม่ซีดจนเกินไป สาวผิวขาวอมเหลือง ควรเลือกสีพีชหรือส้มประกายชมพูเพื่อช่วยให้ผิวสดใส ส่วนสาว ๆ ผิวน้ำผึ้งหรือผิวคล้ำเลือกใช้สีโทนส้มแก่ น้ำตาลทองเพื่อช่วยปรับให้ผิวดูมีสุขภาพดี เปล่งปลั่งมากยิ่งขึ้น

เลือกชนิดของบรัชออนให้ถูกกับสภาพผิวของตัวเอง ปัจจุบันมีบรัชออนให้เลือกหลากหลายชนิด ทั้งแบบฝุ่น ครีม เจล ทิ้นท์ ฯลฯ ดังนั้นใครที่มีผิวแห้งอาจเลือกบรัชออนแบบครีมเพื่อช่วยให้สีติดทนนานและชุ่มชื่นมากยิ่งขึ้น ส่วนผิวมันก็ควรใช้บรัชออนแบบทิ้นท์หรือเจลลงหลังรองพื้นแล้วใช้บรัชออนแบบฝุ่นปัดทับเพื่อไม่ให้สีหลุดออกได้ง่าย

เลือกใช้ขนแปรงและอุปกรณ์ให้เหมาะสม แปรงที่เหมาะสมกับการปัดพวงแก้ม คือ แปรงขนสัตว์หรือขนสังเคราะห์ที่มีลักษณะเป็นพุ่มขนาดใหญ่ปลายมนหรือเฉียง ไว้สำหรับปัดแก้มโดยเฉพาะ เนื่องจากแปรงลักษณะนี้จะช่วยกระจายสีของเนื้อบรัชออนได้ดีกว่าแปรงทรงอื่น ๆ



ก่อนปัดแก้มควรเติมแป้งฝุ่น แป้งเด็กลงไปนิดหน่อย เพื่อจะได้เห็นสีบรัชออนที่ชัดเจนและจะช่วยเบรกสีให้อ่อนลงได้ เมื่อลงบรัชออนเข้มมากจนเกินไป

ควรปัดแก้มอย่างเบามือ ขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยทำให้แก้มสวยใสอย่างเป็นธรรมชาตินั้น คือ ควรเคาะก่อนปัด 1 ครั้งเพื่อให้สีที่จับตัวเป็นก้อนบนขนแปรงหลุดออกบ้าง จากนั้นจึงนำมาปัดไล่ตั้งแต่ช่วงกึ่งกลางแก้มไปจนถึงขมับเบา ๆ

เติมประกายระยิบระยับให้พวงแก้มสักเล็กน้อย เมื่อปัดแก้มจนได้สีสดใสน่ารักแล้ว ใครที่ชอบให้ผิวดูเปล่งปลั่ง มีออร่าเล็ก ๆ อาจใช้ไฮไลท์สีใกล้เคียงที่สว่างกว่าปัดทับลงเบา ๆ ก็ได้นะคะ

อย่าลืมเช็คสีแก้มสวยด้วยแสงธรรมชาติ เมื่อปัดเสร็จเรียบร้อยทุกครั้ง สาว ๆ ควรตรวจเช็กสีสันบนแก้มและใบหน้าให้เรียบร้อยด้วยแสงจากธรรมชาติจะดีกว่าหลอดไฟภายในห้องแต่งตัว เพื่อจะได้เห็นสีจริงและจุดที่อาจต้องแก้ไขได้อย่างชัดเจนก่อนออกจากบ้าน

วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ไดเอ็ทง่ายๆด้วยการลดความยากอาหาร

ลดความอยากอาหารด้วยอาหาร

       ถ้าคุณรู้สึกว่าการควบคุมน้ำหนักเป็นเรื่องยาก เพราะเราชอบกินจุ๊กกินจิกแล้วและก็ เราของแนะนำอาหาร 3 อย่างที่ควรมีติดตู้เย็น หรือประจำบ้านไว้เลยนะค่ะ แทนที่จะเป็นช็อคโกแลตหรือขนมกินเล่น

แอปเปิ้ล
     เนื่องจากแอปเปิ้ลมีไฟเบอร์มากกว่าพืช องุ่น และส้มเสียอีก ซึ่งไฟเบอร์ช่วยทำให้รู้สึกอิ่ม ป้องกันการรับประทานมากจนเกินพอดี เพราะฉะนั้นจึงมีคำแนะนำให้รับประทานแอปเปิ้ลก่อนมื้อค่ำค่ะ


อาหารร้อน
     เช่น ซุป และน้ำชา ด้วยอุณหภูมิที่สูงทำให้ความอยากอาหารลดต่ำลง ดังนั้น ก่อนมื้อหนัก ควรรับประทานซุป หรือน้ำชา ถ้าได้จิบชาเขียวร้อน บอกกันว่า จะช่วยกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญให้ดียิ่งขึ้นด้วยค่ะ


พืชตะกูลถั่ว
     แบบที่มีชื่อว่า Pine nute ช่วยระงับฮอรโมนความอยากอาหาร ที่ชื่อว่า Cholecystokinin (CKK) ดังนั้นจึงแนะนำว่า ให้โรยในสลัด พาสต้าโฮลวีท หรืออาหารที่รับประทานเข้าไป แต่ถ้าหาถั่วชนิดนี้ไม่ได้ ใช้ "อัลมอนด์" แทนได้ เพราะมีปฎิกิริยาขัดขวางการดูดซึงไขมันในร่างกาย ช่วยให้ลดน้ำหนักได้

ดูแลรูปร่างแบบสาวผลไม้

สาวผลไม้กับการดูแลตนเอง


       เพราะโครงสร้างร่างกายของคนเราแตกต่างกัน การจะทำให้รูปร่างของคนเรานั่นสมส่วนจึงต้องแตกต่างตามไปด้วย ดังนั้นวันนี้เราเลยมีเคล็ดลับดีๆมาแนะนำสาวๆแต่ละรูปร่างในการดูแลรูปร่างตัวเองให้สมส่วนสุขภาพดีกันค่ะ







รูปร่างแบบ แอปเปิ้ล คือผู้หญิงที่มีโครงสร้างใหญ่ ไหล่ไปจนถึงเอวมีขนาดใหญ่กว่าสะโพกลงมา จึงควรบริหารร่างกายเน้นส่วนบนเป็นหลัก เพราะไขมันมักสะสมอยู่บริเวณ ไหล่ แขน หน้าท้อง การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสาวรูปร่างแอปเปิ้ลคือการเต้นแอโรบิก เแล้วตามด้วยซิตอัพ 30-50 ครั้งต่อวัน

รูปร่างแบบ กล้วย หรือรูปร่างทรงกระบอก ที่พบมากในสาวเอเชีย  เวลาอ้วนร่างกายจึงดูหนาไปทั้งตัว ควรเล่นกีฬาที่ได้บริหารทุกส่วนของร่างกาย เช่น ว่ายน้ำ โหนบาร์ รวมถึงท่าบริหารบิดเอวเพื่อเพิ่มส่วนโค้งเว้าของร่างกาย

รูปร่าง ลูกแพร์ ที่มีช่วงบนเล็ก ช่วงล่างใหญ่ ไขมันสะสมมากบริเวณสะโพก บั้นท้าย ต้นขา จึงควรออกกำลังกายแบบใช้ความเร็วเพื่อลดไขมัน อาทิ ปั่นจักรยาน เดินเร็ว กระโดดเชือก วิ่ง หรือท่าบริหารกระชับสะโพกจำพวกท่ายืนนั่งย่อเข่า ท่านอนยกขาเตะสลับ ซึ่งใน 1 สัปดาห์ ควรออกกำลังกายมากกว่า 4 วันขึ้นไป วันละ 45 นาที-1 ชม.